เราใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของคุณบนเว็บไซต์นี้

บริการ User Testing

มาร่วมมือออกแบบ digital product กันเถอะ!

บริการครบวงจรที่ออกแบบมาเพื่อคุณ พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญของเราคอยดูแล และสามารถจัดทีมงานเฉพาะกิจเพื่อเพิ่มกำลังคนให้คุณได้หากต้องการ

หรือพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญของเราเกี่ยวกับโปรเจกต์ที่คุณกำลังจะทำได้ที่ โทร.

0 2024 9757
การทดสอบประสบการณ์ผู้ใช้ (user testing) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของผลิตภัณฑ์ดิจิทัลด้วยการสังเกตการใช้งานจริงของผู้ใช้และผลการตอบสนองของผู้ใช้ที่มีต่อผลิตภัณฑ์ ฉะนั้นการทำ user testing จึงช่วยให้คุณออกแบบผลิตภัณฑ์ดิจิทัลได้โดยอ้างอิงจากการวิจัยและคำนึงถึงผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง ซึ่งการทดสอบนี้ไม่เพียงช่วยรักษาฐานลูกค้าของคุณไว้ได้เท่านั้น แต่ยังสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ให้คุณอีกด้วย
Mastercard
Agoda
Prudential
BCG
SCB
TTB
JP Morgan
Kerry
BBC
True
Mastercard
Agoda
Prudential
BCG
SCB
TTB
JP Morgan
Kerry
BBC
True
Mastercard
Agoda
Prudential
BCG
SCB
TTB
JP Morgan
Kerry
BBC
True
UX optimization

user testing คืออะไร

การทดสอบประสบการณ์ผู้ใช้ (user testing) เป็นวิธีการวิจัยอย่างละเอียดโดย UX researcher ด้วยการสังเกตและศึกษาว่าผู้ใช้มีปฏิกิริยาตอบสนองกับผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของคุณอย่างไรบ้าง เพื่อนำผลลัพธ์ไปใช้พัฒนาประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดีขึ้น

โดยทั่วไป ขั้นตอนการทำ user testing จะเริ่มหลังจากที่เราออกแบบ UX/UI เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการทดสอบนี้เป็นขั้นตอนที่ช่วยเราตรวจสอบทิศทางการออกแบบผลิตภัณฑ์ดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้จะได้ประสบการณ์การใช้งานที่ใช้งานสะดวกและเข้าถึงง่ายตามที่ได้วางแผนไว้

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ user testing:

  • ประโยชน์สำหรับผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์

  • 2 กระบวนการที่ใช้ทดสอบ user testing

  • ขั้นตอนการทำ user testing

https://morph-2-develop-strapi-bucket-qa.s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/User_testing_session_at_Morphosis_738c8cd2fe.png

การออกแบบที่ใช้ข้อมูลช่วยตัดสินใจ

ข้อดีของการทำ user testing

ขั้นตอนการทำ user testing เป็นตัวชี้วัดที่มีส่วนทำให้ผลิตภัณฑ์ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้ในกรณีที่ผลิตภัณฑ์ไม่ตอบโจทย์การใช้งาน การทำ user testing ที่มีประสิทธิภาพจึงช่วยสร้าง brand awareness จนสามารถมัดใจผู้ใช้และได้รับเลือกให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่หนึ่งในใจของผู้บริโภค

เหตุผลที่การทำ user testing มีส่วนช่วยในการเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจของคุณ:

  1. เพิ่ม conversion rates

  2. ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัล

  3. ประหยัดเวลาในการทำงานมากขึ้น

user testing ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ UX และ conversion rate

ช่วยให้ UX designer ตัดสินใจในการออกแบบควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน UX ที่ดีขึ้น ด้วยบริการ user testing โดยทีม UX resercher ของ Morphosis

ทีม UX researcher ของเรา มีประสบการณ์ในการค้นคว้าข้อมูลเชิงลึกจากขั้นตอน user testing ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจฟีดแบคเกี่ยวกับการออกแบบการใช้งานและ UI ของผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของคุณจากผู้ใช้ได้อย่างลึกซึ้ง

นอกจากนี้ การทำ user testing ยังช่วยให้คุณรู้ถึงสาเหตุที่ผู้ใช้เลิกใช้ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของคุณหลังจากการเปิดตัว พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพ conversion rate ที่คุณอาจมองข้ามได้ในคราวเดียว

ลดต้นทุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลด้วย user testing 

การทำ user testing จะช่วยตรวจสอบสมมติฐานต่างๆ ที่เรามีต่อผู้ใช้ ซึ่งจะช่วยระบุฟีเจอร์ที่สำคัญที่สุดที่ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลควรมี

ลองหันมาทำ user testing ที่ช่วยให้คุณสร้างฟีเจอร์ที่เหมาะสมและจำเป็นต่อผู้ใช้ แทนการใช้เวลาและงบประมาณให้หมดไปกับการพัฒนาฟีเจอร์ที่ไม่ตรงตามสมมติฐาน

โดยรวมแล้ว การทำ user testing มีประโยชน์ในการช่วยลดการขอปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขงานจากลูกค้าในภายหลัง จึงส่งผลให้ต้นทุนการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของคุณลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ประหยัดเวลาการดำเนินงานด้วยการทำ user testing

การทำ user testing ก่อนขั้นตอนการออกแบบ จะช่วยย่นระยะเวลาในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลได้อย่างมาก

โดยการจัดตารางเวลาไว้ราว 2-3 สัปดาห์ เพื่อสำรวจพฤติกรรมจริงผู้ใช้ รูปแบบความคิดรวมไปถึงความชอบและความคิดเห็นของพวกเขา เพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานที่ซ้ำซ้อนในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัล

การทำเช่นนี้ส่งผลต่อธุรกิจอย่างมาก เพราะคุณสามารถออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบเวลาที่ยืดหยุ่น ซึ่งจะช่วยให้คุณลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น พร้อมทั้งสร้างผลิตภัณฑ์ในระยะเวลาที่สั้นลง

กระบวนการทดสอบ user testing

2 กระบวนการที่ใช้ในการทำ user testing

คุณสามารถทำ user testing ได้หลายวิธี เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการในแต่ละโปรเจกต์ เช่น ตามเป้าหมายทางธุรกิจ งบประมาณ และระยะเวลาที่มีอย่างจำกัด

โดย user testing สามารถทำได้ 2 วิธี ดังนี้ 

  1. การทำ user testing ตัวต่อตัว

  2. การทำ user testing ทางไกล

การทำ user testing ตัวต่อตัว

การสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวระหว่าง UX researcher และผู้ถูกสัมภาษณ์ จะใช้แบบสอบถามควบคู่กับงานที่มอบหมายให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ทำให้เสร็จระหว่างการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์

ข้อดี

  • เพิ่มโอกาสในการถามคำถามใหม่ๆ

  • รับรู้ถึงภาษากายและความรู้สึกที่แท้จริงของผู้ให้สัมภาษณ์

ข้อจำกัด

  • ผู้สัมภาษณ์ต้องมีทักษะค่อนข้างสูง

  • เวลาที่ใช้สัมภาษณ์อาจนานกว่าปกติ

การทำ user testing ออนไลน์

การทดสอบผู้เข้าร่วมด้วยวิธีนี้ช่วยให้ลูกค้าที่เป็น UX researcher ของเราสามารถทดสอบผลิตภัณฑ์ดิจิทัลได้โดยไม่จำเป็นต้องนัดเจอกันแบบตัวต่อตัว ด้วยการใช้ซอฟต์แวร์เพื่อการสื่อสารที่ทำให้การทำ user testing สะดวกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตามผลการทดสอบจากเมาส์ การบันทึกหน้าจอ ไปจนถึง key friction points ที่มักเผยข้อจำกัดที่อาจทำให้ผู้ใช้งุนงง ซึ่งวิธีดังกล่าวจะถูกบันทึกไว้สำหรับการทำ UX optimization

ข้อดี

  • สามารถทดสอบผู้เข้าร่วมจากที่ไหนก็ได้

  • ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาการทำ user testing เพราะวิธีนี้สามารถดำเนินการโดยไม่จำเป็นต้องหักโหมหรือใช้ทรัพยากรมากเกินจำเป็น

ข้อจำกัด

  • อาจถูกรบกวนจากสภาพแวดล้อมรอบตัวระหว่างเข้าร่วมการทดสอบ

  • ใช้เวลาเรียนรู้มากกว่าปกติ เพราะอาจมีผู้ที่ไม่ถนัดในการใช้เทคโนโลยีเข้าร่วมการทดสอบด้วย

https://morph-2-develop-strapi-bucket-qa.s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/Girl_using_laptop_9141fcb093.png

การร่วมพูดคุย

การทดสอบ user testing ช่วยให้ได้รับข้อมูลเชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่างที่แตกต่างกัน

เราได้พัฒนากระบวนการทดสอบ user testing อย่างเป็นระบบ ซึ่งช่วยให้เราสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากผู้ใช้ที่ไม่เคยรู้มาก่อนได้ครบถ้วน ทั้งฟังก์ชันการใช้งานและการออกแบบของผลิตภัณฑ์ดิจิทัลที่ดำเนินการสำหรับลูกค้าของเรา 

บุคคล 3 ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบ user testing ประกอบด้วย

  1. ผู้เข้าร่วมการทดสอบ

  2. ผู้ดำเนินการ

  3. ผู้สังเกตการณ์

ผู้เข้าร่วมการทดสอบ

บุคคลทั่วไปที่มีลักษณะตรงกับกลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ดิจิทัล ซึ่งอาจจะถูกคัดเลือกมาจากทีมของเราหรือทีมของลูกค้า เพื่อให้ผลลัพธ์มีความเที่ยงตรงที่สุด ผู้เข้าร่วมการทดสอบจะต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์หรือผลิตภัณฑ์

ผู้ดำเนินการ

ผู้ดำเนินการจะเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่กับผู้เข้าร่วมระหว่างการทดสอบ user testing เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้กับผู้ถูกสัมภาษณ์ ผู้ดำเนินการจะแจ้งให้ผู้เข้าร่วมทราบว่าการทดสอบนี้ไม่ใช่การทดสอบความสามารถ แต่เป็นการทดสอบเพื่อดูว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรกับดีไซน์ของผลิตภัณฑ์เท่านั้น

ผู้สังเกตการณ์

ผู้สังเกตการณ์อาจเป็น UX designer ของโปรเจกต์นั้นๆ หรือลูกค้าก็ได้ ซึ่งจะอนุญาตให้มีผู้สังเกตการณ์เพียงคนเดียวที่อยู่ในห้องพร้อมกับผู้เข้าร่วมการทดสอบ เพื่อให้พวกเขาสามารถตอบคำถามได้อย่างตรงไปตรงมามากที่สุด นอกจากนี้ บุคคลที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นทีมผู้ดำเนินโปรเจกต์ หรือลูกค้าผู้เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ ก็สามารถเข้าร่วมชมการทำ user testing จากระยะไกลผ่านการบันทึกไลฟ์สตรีมของเราได้เช่นกัน

ทำไมถึงต้องบันทึกวิดีโอการทดสอบ user testing ?

การบันทึกวิดีโอมีประโยชน์ต่อการทดสอบ user testing อย่างมากใน 2 ด้านดังนี้: 

  1. ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบระหว่างการทำ user testing เพื่อมองหาโอกาสในการปรับปรุง UX ให้ดียิ่งขึ้น

  2. ช่วยให้เราสามารถแชร์ช่วงเวลาการทำ user testing กับลูกค้าของเรา ซึ่งพวกเขาสามารถจัดเก็บและตรวจสอบขั้นตอนต่างๆ ซ้ำได้เมื่อมีโปรเจกต์ใหม่ในอนาคต

ด้วยเหตุนี้ เราจึงบันทึกวิดีโอโดยใช้ทั้งกล้องหน้าและกล้องจากอุปกรณ์อื่นในระหว่างการทำ user testing

ช่วงเวลาในการบันทึก

กล้องหน้าจะทำให้เราเห็นการแสดงออกทางสีหน้าและดวงตาของผู้เข้าร่วมการทดสอบ ซึ่งช่วยให้เรารู้ถึงจุดที่เป็นปัญหาภายในขั้นตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี

ในขณะเดียวกัน กล้องจากอุปกรณ์อื่นจะทำให้เห็นภาพรวมของผู้เข้าร่วมการทดสอบว่ามีการตอบสนองกับโครงร่างหรือต้นแบบของผลิตภัณฑ์ดิจิทัลอย่างไร จึงทำให้เราสามารถบันทึกและวิเคราะห์วิธีที่ผู้ใช้ถูกนำทางจากหน้าหนึ่งภายในผลิตภัณฑ์ไปสู่อีกหน้าหนึ่งว่าเป็นอย่างไร

ตอนนี้ทุกคนคงได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับผู้มีส่วนร่วมและเครื่องมือที่จำเป็นในการทำ user testing แล้ว ถัดไปเราจะมาดูขั้นตอนของการทดสอบ user testing ทั้ง 6 ขั้นตอน

https://morph-2-develop-strapi-bucket-qa.s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/Conducting_a_user_testing_session_at_Morphosis_09596ec343.png

6 ขั้นตอนในการทำ user testing

การทำ user testing ขั้นที่ 1: กำหนด KPI ที่เหมาะสม

เป้าหมายของการทำ user testing คือ การประเมินว่าการออกแบบผลิตภัณฑ์ดิจิทัลสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้หรือไม่ ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าการกำหนด KPI ที่เหมาะสมถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการทำ user testing

การตรวจสอบสมมติฐาน

เริ่มจากการตั้งสมมติฐานหลายข้อในขั้นตอนแรกของกระบวนการออกแบบ user testing ทั้งจากทีม UX designer และลูกค้าของเรา โดยจุดประสงค์หลักของการทำ user testing เพื่อตรวจสอบสมมติฐานต่างๆ ที่ตั้งไว้ในตอนแรก และค้นหาความเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการออกแบบโดยรวมของผลิตภัณฑ์ดิจิทัล ก่อนที่จะลงทุนในส่วนงานต่างๆ เพิ่มขึ้น

ดังนั้น เราจึงจัดการทดสอบ user testing ขึ้น เพื่อทำความเข้าใจมุมมองของการออกแบบผลิตภัณฑ์ดิจิทัลในหลายๆ ด้าน ซึ่งต่างจากแง่มุมของการใช้งานทั่วไปและการนำข้อดีของผลิตภัณฑ์มาใช้เพื่อธุรกิจ

การกำหนด KPI เฉพาะสำหรับช่วงการทำ user testing ทำให้เรามั่นใจในผลการวิจัยที่จะผลักดันให้กระบวนการออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

KPI เหล่านี้อาจรวมถึง

  1. ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ต้นแบบกับผู้ใช้จริง

  2. ทดสอบ user flow ของผลิตภัณฑ์เพื่อระบุจุดที่เป็นปัญหา

  3. ดูว่าผู้ใช้สามารถบรรลุเป้าหมายระหว่างการใช้ผลิตภัณฑ์ต้นแบบได้หรือไม่

ตั้งโจทย์ให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบ

หลังจากกำหนด KPI ของการทำ user testing แล้ว เรากำหนดโจทย์ให้ผู้เข้าร่วมทำระหว่างช่วงการทำ user testing โดยงานเหล่านี้มีไว้เพื่อช่วยให้เราค้นพบและแก้ไขปัญหาการออกแบบผลิตภัณฑ์ดิจิทัล และช่วยให้เราบรรลุตาม KPI ที่ได้กำหนดไว้

ลักษณะของโจทย์ที่ให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบทำจะขึ้นอยู่กับชนิดของผลิตภัณฑ์ดิจิทัล ตัวอย่างเช่น งานสำหรับแพลตฟอร์มการจองออนไลน์ที่มีขั้นตอนดังนี้

  1. สร้างบัญชีผู้ใช้

  2. ค้นหาโรงแรม (ระบุสถานที่)

  3. ทำการจองที่พักออนไลน์

  4. เข้าสู่ขั้นตอนการชำระเงิน

ส่วนงานสำหรับแพลตฟอร์ม e-commerce อาจเป็น

  1. ค้นหาสินค้า A

  2. เพิ่มสินค้าเข้าสู่ตะกร้า

  3. เลือกวิธีการชำระเงิน

  4. ตรวจสอบสถานะสินค้าในหน้าติดตามการจัดส่ง

https://morph-2-develop-strapi-bucket-qa.s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/Working_on_laptop_and_writing_91825b53bd.png

การทำ user testing ขั้นที่ 2: กำหนดจำนวนกลุ่มตัวอย่าง

ต่อมาเราต้องกำหนดจำนวนกลุ่มผู้ใช้เป้าหมายที่จะใช้ในกระบวนการทดสอบ user testing

จำนวนของผู้ใช้ตัวอย่างจะมีผลต่อการกำหนดเป้าหมายผลิตภัณฑ์ดิจิทัล ซึ่งทำให้เรามีแนวทางคร่าวๆ ว่าควรจะรวมกลุ่มผู้ใช้ใดบ้าง

อย่างไรก็ตาม เรายังต้องคำนึงถึงข้อจำกัดด้านงบประมาณและระยะเวลาในการดำเนินโปรเจกต์ ตลอดจนความต้องการทางธุรกิจของลูกค้าเพื่อการตัดสินใจในครั้งนี้

ตัวอย่างเช่น แม้ว่าเราจะออกแบบทั้งระบบหลังบ้าน (backend) และระบบหน้าบ้าน (frontend) สำหรับลูกค้าของเรา แต่หากพวกเขามีเป้าหมายทางธุรกิจที่ต้องการมอบประสบการณ์ที่ดีและมีคุณภาพให้กับผู้ใช้กลุ่มเป้าหมาย เราจะแยกผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายในออกจากกระบวนการทำ user testing และโฟกัสไปที่การทำให้ผลิตภัณฑ์นี้จะตอบสนองกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเต็มที่

โดยปกติแล้วเราจะเลือกกลุ่มผู้ใช้ที่สำคัญที่สุดเพียง 1 หรือ 2 กลุ่ม ในขั้นตอนการทำ user testing

จำนวนผู้เข้าร่วมการทดสอบที่เหมาะสม

งานวิจัยจาก Nielsen Norman Group แสดงให้เห็นว่าจำนวนผู้เข้าร่วมการทดสอบที่เหมาะสมในแต่ละกลุ่มคือ 5 คน เนื่องจากปริมาณข้อมูลเชิงลึกใหม่ที่ได้จะลดลงอย่างมากหลังจากที่ได้สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมคนที่ 5

โดยการกำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมการทดสอบเพียง 5 คนต่อหนึ่งกลุ่ม จะช่วยให้ลูกค้าของเราประหยัดทั้งงบประมาณและเวลาในการทำ user testing แต่ยังสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึกได้อย่างครบถ้วน

การทำ user testing ขั้นที่ 3: กำหนดคำถามในแบบทดสอบ

การตรวจสอบสมมติฐานในด้านประสิทธิภาพของขั้นตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์ดิจิทัลเป็นเป้าหมายหลักในการทำ user testing โดย UX researcher ของเราจะสร้างแบบสอบถามที่ช่วยในการบรรลุเป้าหมายนี้ในระหว่างช่วงการทำ User testing

โดยหลังจากที่ผู้เข้าร่วมได้ทดสอบการใช้งานที่แตกต่างกันในผลิตภัณฑ์ต้นแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ดำเนินการจะเริ่มกระบวนการถามตอบเพื่อค้นหาว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ได้ทำไป

คำถามเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับสมมติฐานและเป็นเป้าหมายที่เรากำลังพยายามตรวจสอบว่าจริงหรือไม่

นี่เป็นคำถามที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการถามตอบ

  • ประสบการณ์โดยรวมของคุณในการใช้ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลเป็นอย่างไร?

  • คุณรู้หรือไม่ว่าแอปพลิเคชั่นหรือเว็บไซต์นี้เกี่ยวข้องกับอะไร?

  • คุณคิดว่าการใช้งาน 'x' ยากแค่ไหน?

  • อะไรคือสิ่งที่คุณชอบอะไรมากที่สุดในแพลตฟอร์มนี้?

  • อะไรคือสิ่งที่คุณไม่ชอบอะไรมากที่สุดในแพลตฟอร์มนี้?

  • คุณคิดว่าแพลตฟอร์มนี้ควรปรับปรุงอะไรมากที่สุด?

https://morph-2-develop-strapi-bucket-qa.s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/Writing_on_paper_4e8cdfdad9.png

การทำ user testing ขั้นที่ 4: จัดหาผู้เข้าร่วมทดสอบ

UX researcher ของเราหรือลูกค้าจะเป็นผู้จัดหาผู้เข้าร่วมทำการทดสอบ ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีการมอบค่าตอบแทน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับพวกเขาในการมาเข้าร่วมทำ user testing

ประเภทของกลุ่มเป้าหมายเป็นตัวกำหนดค่าตอบแทนที่ผู้เข้าร่วมการทดสอบต้องการ โดยรายละเอียดที่ได้จากการทดสอบสามารถช่วยเรากำหนดค่าตอบแทนได้อย่างเหมาะสม ประกอบด้วย

  • ตำแหน่งงานของผู้เข้าร่วมการทดสอบ

  • ระยะทางที่ต้องเดินทางไปถึงสถานที่ทดสอบ

  • เวลาที่คาดว่าจะใช้ในระหว่างช่วงการทดสอบ

  • ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลที่พวกเขาสนใจ

ในระหว่างการรับสมัครผู้เข้าร่วมการทดสอบจะต้องมีการเตรียมคำถามเพื่อใช้คัดกรองกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งคำถามเหล่านี้จะช่วยให้เราเลือกกลุ่มผู้ที่เหมาะสมและยังสามารถเป็นตัวแทนของผู้ใช้เป้าหมายของผลิตภัณฑ์ดิจิทัลได้จริง

https://morph-2-develop-strapi-bucket-qa.s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/Recruitment_or_hiring_process_3893c8e266.png

การทำ user testing ขั้นที่ 5: เริ่มการทดสอบ

เมื่อคัดเลือกผู้เข้าร่วมการทดสอบได้แล้ว UX researcher ของเราจะทำการกำหนดวันทดสอบล่วงหน้า เพื่อให้ไม่ให้มีตารางงานที่ทับซ้อนกัน และยังเป็นการช่วยลดระยะเวลาที่ใช้ในโปรเจกต์ให้น้อยลงได้อีกด้วย

กระบวนการนี้ช่วยให้ลูกค้าของเราได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มีประสิทธิภาพจากผู้ใช้ได้ดีที่สุด

UX researcher ของเราสามารถดำเนินการทำ user testing ได้สูงสุด 5 รอบในแต่ละวัน โดยแต่ละรอบของการทำ user testing จะใช้เวลา 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ดังนั้น หากเรากำลังทดสอบกลุ่มผู้ใช้ 2 กลุ่ม จึงจะได้จำนวนวันทั้งหมดที่ใช้ในการทำ user testing ประมาณ 2 วัน

ด้านล่างนี้คือข้อมูลสรุปโดยย่อของกระบวนการที่เราดำเนินการในแต่ละรอบของการทำ user testing

  1. อธิบายเกี่ยวกับรอบการทดสอบและอธิบายเป้าหมายในการทดสอบของเราให้ผู้เข้าร่วมทราบ

  2. ให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบลงนามในแบบฟอร์มยินยอมอนุญาตให้เราบันทึกรอบการทดสอบ และอาจมีการถ่ายรูปเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ทางการตลาดภายหลัง

  3. เริ่มบันทึกการทดสอบ

  4. เริ่มรอบของการทดสอบ (ขอให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบลองทำตามสถานการณ์และทำสิ่งที่ได้รับมอบหมาย)

  5. เริ่มการถาม/ตอบ

  6. จบการบันทึกรอบของการทดสอบ

  7. จัดพื้นที่ที่ใช้ทำการทดสอบให้เรียบร้อย และเตรียมพร้อมสำหรับผู้เข้าร่วมรายต่อไป

https://morph-2-develop-strapi-bucket-qa.s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/Virtual_reality_headset_1414d21af0.png

การทำ user testing ขั้นที่ 6: วิเคราะห์ผลและส่งมอบผลลัพธ์

ในขั้นสุดท้าย เราจะรวบรวมผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ user testing แต่ละรอบออกมาเป็นรายงานที่ครบถ้วนสำหรับลูกค้าของเรา รวมถึงวิเคราะห์ประเด็นสำคัญที่จะใช้สำหรับการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ในอนาคต

นอกเหนือจากรายงานแล้ว เรายังสามารถจัดเตรียมรายงานผลการทดสอบอื่นๆ ได้ถึง 2 แบบ ได้แก่

  1. ถอดเสียงบทสนทนาในช่วงที่ทำ user testing

  2. การแปลรายงานสรุปและการถอดเสียงบทสนทนา

หลังจากทำรายงานสรุปและถอดเสียงบทสนทนาเสร็จแล้ว เราจะกำหนดวันที่ในการส่งมอบข้อมูลต่างๆ ที่ได้รวบรวมมาให้กับลูกค้า ประกอบด้วย

  • รายงานฉบับสมบูรณ์พร้อมข้อมูลเชิงลึกและประเด็นสำคัญ

  • การถอดเสียงและการแปลบทสนทนา (แล้วแต่กรณี)

  • ไฟล์วิดีโอทั้งหมดของแต่ละรอบการทดสอบ user testing (แล้วแต่กรณี)

ในรายงานจะนำเสนอรูปแบบสำคัญของวิธีที่ผู้เข้าร่วมการทดสอบ user testing ทำระหว่างการใช้ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ หากเราพบปัญหาที่เกิดขึ้นจากการออกแบบเพียงเล็กน้อยในขั้นตอน UX optimization เราจะแจ้งให้ลูกค้ารับทราบถึงการปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ทันที

อย่างไรก็ตาม หากพบปัญหาพื้นฐานของการออกแบบผลิตภัณฑ์ดิจิทัลในระหว่างเซสชันการทำ user testing ที่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงการออกแบบครั้งใหญ่ เราจะปรึกษาลูกค้าในเรื่องขอบเขตการทำงาน เพื่อเสาะหาแนวทางที่ดีที่สุดต่อไป

https://morph-2-develop-strapi-bucket-qa.s3.ap-southeast-1.amazonaws.com/Brainstorming_and_writing_d9b8defa0b.png

รู้จักเรามากขึ้น

เข้าใจลูกค้าของคุณ สร้างกลยุทธ์ที่หลากหลาย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลที่ดียิ่งกว่า