บริการ User Testing
user testing คืออะไร
การทดสอบประสบการณ์ผู้ใช้ (user testing) เป็นวิธีการวิจัยอย่างละเอียดโดย UX researcher ด้วยการสังเกตและศึกษาว่าผู้ใช้มีปฏิกิริยาตอบสนองกับผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของคุณอย่างไรบ้าง เพื่อนำผลลัพธ์ไปใช้พัฒนาประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดีขึ้น
โดยทั่วไป ขั้นตอนการทำ user testing จะเริ่มหลังจากที่เราออกแบบ UX/UI เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการทดสอบนี้เป็นขั้นตอนที่ช่วยเราตรวจสอบทิศทางการออกแบบผลิตภัณฑ์ดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้จะได้ประสบการณ์การใช้งานที่ใช้งานสะดวกและเข้าถึงง่ายตามที่ได้วางแผนไว้
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการ user testing:
ประโยชน์สำหรับผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์
2 กระบวนการที่ใช้ทดสอบ user testing
ขั้นตอนการทำ user testing
ข้อดีของการทำ user testing
ขั้นตอนการทำ user testing เป็นตัวชี้วัดที่มีส่วนทำให้ผลิตภัณฑ์ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้ในกรณีที่ผลิตภัณฑ์ไม่ตอบโจทย์การใช้งาน การทำ user testing ที่มีประสิทธิภาพจึงช่วยสร้าง brand awareness จนสามารถมัดใจผู้ใช้และได้รับเลือกให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่หนึ่งในใจของผู้บริโภค
เหตุผลที่การทำ user testing มีส่วนช่วยในการเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจของคุณ:
เพิ่ม conversion rates
ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัล
ประหยัดเวลาในการทำงานมากขึ้น
user testing ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ UX และ conversion rate
ช่วยให้ UX designer ตัดสินใจในการออกแบบควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน UX ที่ดีขึ้น ด้วยบริการ user testing โดยทีม UX resercher ของ Morphosis
ทีม UX researcher ของเรา มีประสบการณ์ในการค้นคว้าข้อมูลเชิงลึกจากขั้นตอน user testing ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจฟีดแบคเกี่ยวกับการออกแบบการใช้งานและ UI ของผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของคุณจากผู้ใช้ได้อย่างลึกซึ้ง
นอกจากนี้ การทำ user testing ยังช่วยให้คุณรู้ถึงสาเหตุที่ผู้ใช้เลิกใช้ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของคุณหลังจากการเปิดตัว พร้อมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพ conversion rate ที่คุณอาจมองข้ามได้ในคราวเดียว
ลดต้นทุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลด้วย user testing
การทำ user testing จะช่วยตรวจสอบสมมติฐานต่างๆ ที่เรามีต่อผู้ใช้ ซึ่งจะช่วยระบุฟีเจอร์ที่สำคัญที่สุดที่ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลควรมี
ลองหันมาทำ user testing ที่ช่วยให้คุณสร้างฟีเจอร์ที่เหมาะสมและจำเป็นต่อผู้ใช้ แทนการใช้เวลาและงบประมาณให้หมดไปกับการพัฒนาฟีเจอร์ที่ไม่ตรงตามสมมติฐาน
โดยรวมแล้ว การทำ user testing มีประโยชน์ในการช่วยลดการขอปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขงานจากลูกค้าในภายหลัง จึงส่งผลให้ต้นทุนการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลของคุณลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ประหยัดเวลาการดำเนินงานด้วยการทำ user testing
การทำ user testing ก่อนขั้นตอนการออกแบบ จะช่วยย่นระยะเวลาในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลได้อย่างมาก
โดยการจัดตารางเวลาไว้ราว 2-3 สัปดาห์ เพื่อสำรวจพฤติกรรมจริงผู้ใช้ รูปแบบความคิดรวมไปถึงความชอบและความคิดเห็นของพวกเขา เพื่อหลีกเลี่ยงการทำงานที่ซ้ำซ้อนในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัล
การทำเช่นนี้ส่งผลต่อธุรกิจอย่างมาก เพราะคุณสามารถออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบเวลาที่ยืดหยุ่น ซึ่งจะช่วยให้คุณลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น พร้อมทั้งสร้างผลิตภัณฑ์ในระยะเวลาที่สั้นลง
2 กระบวนการที่ใช้ในการทำ user testing
คุณสามารถทำ user testing ได้หลายวิธี เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการในแต่ละโปรเจกต์ เช่น ตามเป้าหมายทางธุรกิจ งบประมาณ และระยะเวลาที่มีอย่างจำกัด
โดย user testing สามารถทำได้ 2 วิธี ดังนี้
การทำ user testing ตัวต่อตัว
การทำ user testing ทางไกล
การทำ user testing ตัวต่อตัว
การสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวระหว่าง UX researcher และผู้ถูกสัมภาษณ์ จะใช้แบบสอบถามควบคู่กับงานที่มอบหมายให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ทำให้เสร็จระหว่างการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์
ข้อดี
เพิ่มโอกาสในการถามคำถามใหม่ๆ
รับรู้ถึงภาษากายและความรู้สึกที่แท้จริงของผู้ให้สัมภาษณ์
ข้อจำกัด
ผู้สัมภาษณ์ต้องมีทักษะค่อนข้างสูง
เวลาที่ใช้สัมภาษณ์อาจนานกว่าปกติ
การทำ user testing ออนไลน์
การทดสอบผู้เข้าร่วมด้วยวิธีนี้ช่วยให้ลูกค้าที่เป็น UX researcher ของเราสามารถทดสอบผลิตภัณฑ์ดิจิทัลได้โดยไม่จำเป็นต้องนัดเจอกันแบบตัวต่อตัว ด้วยการใช้ซอฟต์แวร์เพื่อการสื่อสารที่ทำให้การทำ user testing สะดวกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดตามผลการทดสอบจากเมาส์ การบันทึกหน้าจอ ไปจนถึง key friction points ที่มักเผยข้อจำกัดที่อาจทำให้ผู้ใช้งุนงง ซึ่งวิธีดังกล่าวจะถูกบันทึกไว้สำหรับการทำ UX optimization
ข้อดี
สามารถทดสอบผู้เข้าร่วมจากที่ไหนก็ได้
ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาการทำ user testing เพราะวิธีนี้สามารถดำเนินการโดยไม่จำเป็นต้องหักโหมหรือใช้ทรัพยากรมากเกินจำเป็น
ข้อจำกัด
อาจถูกรบกวนจากสภาพแวดล้อมรอบตัวระหว่างเข้าร่วมการทดสอบ
ใช้เวลาเรียนรู้มากกว่าปกติ เพราะอาจมีผู้ที่ไม่ถนัดในการใช้เทคโนโลยีเข้าร่วมการทดสอบด้วย
การทดสอบ user testing ช่วยให้ได้รับข้อมูลเชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่างที่แตกต่างกัน
เราได้พัฒนากระบวนการทดสอบ user testing อย่างเป็นระบบ ซึ่งช่วยให้เราสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากผู้ใช้ที่ไม่เคยรู้มาก่อนได้ครบถ้วน ทั้งฟังก์ชันการใช้งานและการออกแบบของผลิตภัณฑ์ดิจิทัลที่ดำเนินการสำหรับลูกค้าของเรา
บุคคล 3 ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบ user testing ประกอบด้วย
ผู้เข้าร่วมการทดสอบ
ผู้ดำเนินการ
ผู้สังเกตการณ์
ผู้เข้าร่วมการทดสอบ
บุคคลทั่วไปที่มีลักษณะตรงกับกลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ดิจิทัล ซึ่งอาจจะถูกคัดเลือกมาจากทีมของเราหรือทีมของลูกค้า เพื่อให้ผลลัพธ์มีความเที่ยงตรงที่สุด ผู้เข้าร่วมการทดสอบจะต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์หรือผลิตภัณฑ์
ผู้ดำเนินการ
ผู้ดำเนินการจะเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่กับผู้เข้าร่วมระหว่างการทดสอบ user testing เพื่อสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้กับผู้ถูกสัมภาษณ์ ผู้ดำเนินการจะแจ้งให้ผู้เข้าร่วมทราบว่าการทดสอบนี้ไม่ใช่การทดสอบความสามารถ แต่เป็นการทดสอบเพื่อดูว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรกับดีไซน์ของผลิตภัณฑ์เท่านั้น
ผู้สังเกตการณ์
ผู้สังเกตการณ์อาจเป็น UX designer ของโปรเจกต์นั้นๆ หรือลูกค้าก็ได้ ซึ่งจะอนุญาตให้มีผู้สังเกตการณ์เพียงคนเดียวที่อยู่ในห้องพร้อมกับผู้เข้าร่วมการทดสอบ เพื่อให้พวกเขาสามารถตอบคำถามได้อย่างตรงไปตรงมามากที่สุด นอกจากนี้ บุคคลที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นทีมผู้ดำเนินโปรเจกต์ หรือลูกค้าผู้เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ ก็สามารถเข้าร่วมชมการทำ user testing จากระยะไกลผ่านการบันทึกไลฟ์สตรีมของเราได้เช่นกัน
ทำไมถึงต้องบันทึกวิดีโอการทดสอบ user testing ?
การบันทึกวิดีโอมีประโยชน์ต่อการทดสอบ user testing อย่างมากใน 2 ด้านดังนี้:
ช่วยให้เราสามารถตรวจสอบระหว่างการทำ user testing เพื่อมองหาโอกาสในการปรับปรุง UX ให้ดียิ่งขึ้น
ช่วยให้เราสามารถแชร์ช่วงเวลาการทำ user testing กับลูกค้าของเรา ซึ่งพวกเขาสามารถจัดเก็บและตรวจสอบขั้นตอนต่างๆ ซ้ำได้เมื่อมีโปรเจกต์ใหม่ในอนาคต
ด้วยเหตุนี้ เราจึงบันทึกวิดีโอโดยใช้ทั้งกล้องหน้าและกล้องจากอุปกรณ์อื่นในระหว่างการทำ user testing
ช่วงเวลาในการบันทึก
กล้องหน้าจะทำให้เราเห็นการแสดงออกทางสีหน้าและดวงตาของผู้เข้าร่วมการทดสอบ ซึ่งช่วยให้เรารู้ถึงจุดที่เป็นปัญหาภายในขั้นตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี
ในขณะเดียวกัน กล้องจากอุปกรณ์อื่นจะทำให้เห็นภาพรวมของผู้เข้าร่วมการทดสอบว่ามีการตอบสนองกับโครงร่างหรือต้นแบบของผลิตภัณฑ์ดิจิทัลอย่างไร จึงทำให้เราสามารถบันทึกและวิเคราะห์วิธีที่ผู้ใช้ถูกนำทางจากหน้าหนึ่งภายในผลิตภัณฑ์ไปสู่อีกหน้าหนึ่งว่าเป็นอย่างไร
ตอนนี้ทุกคนคงได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับผู้มีส่วนร่วมและเครื่องมือที่จำเป็นในการทำ user testing แล้ว ถัดไปเราจะมาดูขั้นตอนของการทดสอบ user testing ทั้ง 6 ขั้นตอน
การทำ user testing ขั้นที่ 1: กำหนด KPI ที่เหมาะสม
เป้าหมายของการทำ user testing คือ การประเมินว่าการออกแบบผลิตภัณฑ์ดิจิทัลสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้หรือไม่ ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าการกำหนด KPI ที่เหมาะสมถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการทำ user testing
การตรวจสอบสมมติฐาน
เริ่มจากการตั้งสมมติฐานหลายข้อในขั้นตอนแรกของกระบวนการออกแบบ user testing ทั้งจากทีม UX designer และลูกค้าของเรา โดยจุดประสงค์หลักของการทำ user testing เพื่อตรวจสอบสมมติฐานต่างๆ ที่ตั้งไว้ในตอนแรก และค้นหาความเกี่ยวข้องกับขั้นตอนการออกแบบโดยรวมของผลิตภัณฑ์ดิจิทัล ก่อนที่จะลงทุนในส่วนงานต่างๆ เพิ่มขึ้น
ดังนั้น เราจึงจัดการทดสอบ user testing ขึ้น เพื่อทำความเข้าใจมุมมองของการออกแบบผลิตภัณฑ์ดิจิทัลในหลายๆ ด้าน ซึ่งต่างจากแง่มุมของการใช้งานทั่วไปและการนำข้อดีของผลิตภัณฑ์มาใช้เพื่อธุรกิจ
การกำหนด KPI เฉพาะสำหรับช่วงการทำ user testing ทำให้เรามั่นใจในผลการวิจัยที่จะผลักดันให้กระบวนการออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ดิจิทัลมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
KPI เหล่านี้อาจรวมถึง
ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ต้นแบบกับผู้ใช้จริง
ทดสอบ user flow ของผลิตภัณฑ์เพื่อระบุจุดที่เป็นปัญหา
ดูว่าผู้ใช้สามารถบรรลุเป้าหมายระหว่างการใช้ผลิตภัณฑ์ต้นแบบได้หรือไม่
ตั้งโจทย์ให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบ
หลังจากกำหนด KPI ของการทำ user testing แล้ว เรากำหนดโจทย์ให้ผู้เข้าร่วมทำระหว่างช่วงการทำ user testing โดยงานเหล่านี้มีไว้เพื่อช่วยให้เราค้นพบและแก้ไขปัญหาการออกแบบผลิตภัณฑ์ดิจิทัล และช่วยให้เราบรรลุตาม KPI ที่ได้กำหนดไว้
ลักษณะของโจทย์ที่ให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบทำจะขึ้นอยู่กับชนิดของผลิตภัณฑ์ดิจิทัล ตัวอย่างเช่น งานสำหรับแพลตฟอร์มการจองออนไลน์ที่มีขั้นตอนดังนี้
สร้างบัญชีผู้ใช้
ค้นหาโรงแรม (ระบุสถานที่)
ทำการจองที่พักออนไลน์
เข้าสู่ขั้นตอนการชำระเงิน
ส่วนงานสำหรับแพลตฟอร์ม e-commerce อาจเป็น
ค้นหาสินค้า A
เพิ่มสินค้าเข้าสู่ตะกร้า
เลือกวิธีการชำระเงิน
ตรวจสอบสถานะสินค้าในหน้าติดตามการจัดส่ง
การทำ user testing ขั้นที่ 2: กำหนดจำนวนกลุ่มตัวอย่าง
ต่อมาเราต้องกำหนดจำนวนกลุ่มผู้ใช้เป้าหมายที่จะใช้ในกระบวนการทดสอบ user testing
จำนวนของผู้ใช้ตัวอย่างจะมีผลต่อการกำหนดเป้าหมายผลิตภัณฑ์ดิจิทัล ซึ่งทำให้เรามีแนวทางคร่าวๆ ว่าควรจะรวมกลุ่มผู้ใช้ใดบ้าง
อย่างไรก็ตาม เรายังต้องคำนึงถึงข้อจำกัดด้านงบประมาณและระยะเวลาในการดำเนินโปรเจกต์ ตลอดจนความต้องการทางธุรกิจของลูกค้าเพื่อการตัดสินใจในครั้งนี้
ตัวอย่างเช่น แม้ว่าเราจะออกแบบทั้งระบบหลังบ้าน (backend) และระบบหน้าบ้าน (frontend) สำหรับลูกค้าของเรา แต่หากพวกเขามีเป้าหมายทางธุรกิจที่ต้องการมอบประสบการณ์ที่ดีและมีคุณภาพให้กับผู้ใช้กลุ่มเป้าหมาย เราจะแยกผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายในออกจากกระบวนการทำ user testing และโฟกัสไปที่การทำให้ผลิตภัณฑ์นี้จะตอบสนองกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเต็มที่
โดยปกติแล้วเราจะเลือกกลุ่มผู้ใช้ที่สำคัญที่สุดเพียง 1 หรือ 2 กลุ่ม ในขั้นตอนการทำ user testing
จำนวนผู้เข้าร่วมการทดสอบที่เหมาะสม
งานวิจัยจาก Nielsen Norman Group แสดงให้เห็นว่าจำนวนผู้เข้าร่วมการทดสอบที่เหมาะสมในแต่ละกลุ่มคือ 5 คน เนื่องจากปริมาณข้อมูลเชิงลึกใหม่ที่ได้จะลดลงอย่างมากหลังจากที่ได้สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมคนที่ 5
โดยการกำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมการทดสอบเพียง 5 คนต่อหนึ่งกลุ่ม จะช่วยให้ลูกค้าของเราประหยัดทั้งงบประมาณและเวลาในการทำ user testing แต่ยังสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึกได้อย่างครบถ้วน
การทำ user testing ขั้นที่ 3: กำหนดคำถามในแบบทดสอบ
การตรวจสอบสมมติฐานในด้านประสิทธิภาพของขั้นตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์ดิจิทัลเป็นเป้าหมายหลักในการทำ user testing โดย UX researcher ของเราจะสร้างแบบสอบถามที่ช่วยในการบรรลุเป้าหมายนี้ในระหว่างช่วงการทำ User testing
โดยหลังจากที่ผู้เข้าร่วมได้ทดสอบการใช้งานที่แตกต่างกันในผลิตภัณฑ์ต้นแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ดำเนินการจะเริ่มกระบวนการถามตอบเพื่อค้นหาว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ได้ทำไป
คำถามเหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับสมมติฐานและเป็นเป้าหมายที่เรากำลังพยายามตรวจสอบว่าจริงหรือไม่
นี่เป็นคำถามที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการถามตอบ
ประสบการณ์โดยรวมของคุณในการใช้ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลเป็นอย่างไร?
คุณรู้หรือไม่ว่าแอปพลิเคชั่นหรือเว็บไซต์นี้เกี่ยวข้องกับอะไร?
คุณคิดว่าการใช้งาน 'x' ยากแค่ไหน?
อะไรคือสิ่งที่คุณชอบอะไรมากที่สุดในแพลตฟอร์มนี้?
อะไรคือสิ่งที่คุณไม่ชอบอะไรมากที่สุดในแพลตฟอร์มนี้?
คุณคิดว่าแพลตฟอร์มนี้ควรปรับปรุงอะไรมากที่สุด?
การทำ user testing ขั้นที่ 4: จัดหาผู้เข้าร่วมทดสอบ
UX researcher ของเราหรือลูกค้าจะเป็นผู้จัดหาผู้เข้าร่วมทำการทดสอบ ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีการมอบค่าตอบแทน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับพวกเขาในการมาเข้าร่วมทำ user testing
ประเภทของกลุ่มเป้าหมายเป็นตัวกำหนดค่าตอบแทนที่ผู้เข้าร่วมการทดสอบต้องการ โดยรายละเอียดที่ได้จากการทดสอบสามารถช่วยเรากำหนดค่าตอบแทนได้อย่างเหมาะสม ประกอบด้วย
ตำแหน่งงานของผู้เข้าร่วมการทดสอบ
ระยะทางที่ต้องเดินทางไปถึงสถานที่ทดสอบ
เวลาที่คาดว่าจะใช้ในระหว่างช่วงการทดสอบ
ผลิตภัณฑ์ดิจิทัลที่พวกเขาสนใจ
ในระหว่างการรับสมัครผู้เข้าร่วมการทดสอบจะต้องมีการเตรียมคำถามเพื่อใช้คัดกรองกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งคำถามเหล่านี้จะช่วยให้เราเลือกกลุ่มผู้ที่เหมาะสมและยังสามารถเป็นตัวแทนของผู้ใช้เป้าหมายของผลิตภัณฑ์ดิจิทัลได้จริง
การทำ user testing ขั้นที่ 5: เริ่มการทดสอบ
เมื่อคัดเลือกผู้เข้าร่วมการทดสอบได้แล้ว UX researcher ของเราจะทำการกำหนดวันทดสอบล่วงหน้า เพื่อให้ไม่ให้มีตารางงานที่ทับซ้อนกัน และยังเป็นการช่วยลดระยะเวลาที่ใช้ในโปรเจกต์ให้น้อยลงได้อีกด้วย
กระบวนการนี้ช่วยให้ลูกค้าของเราได้รับข้อมูลเชิงลึกที่มีประสิทธิภาพจากผู้ใช้ได้ดีที่สุด
UX researcher ของเราสามารถดำเนินการทำ user testing ได้สูงสุด 5 รอบในแต่ละวัน โดยแต่ละรอบของการทำ user testing จะใช้เวลา 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ดังนั้น หากเรากำลังทดสอบกลุ่มผู้ใช้ 2 กลุ่ม จึงจะได้จำนวนวันทั้งหมดที่ใช้ในการทำ user testing ประมาณ 2 วัน
ด้านล่างนี้คือข้อมูลสรุปโดยย่อของกระบวนการที่เราดำเนินการในแต่ละรอบของการทำ user testing
อธิบายเกี่ยวกับรอบการทดสอบและอธิบายเป้าหมายในการทดสอบของเราให้ผู้เข้าร่วมทราบ
ให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบลงนามในแบบฟอร์มยินยอมอนุญาตให้เราบันทึกรอบการทดสอบ และอาจมีการถ่ายรูปเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ทางการตลาดภายหลัง
เริ่มบันทึกการทดสอบ
เริ่มรอบของการทดสอบ (ขอให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบลองทำตามสถานการณ์และทำสิ่งที่ได้รับมอบหมาย)
เริ่มการถาม/ตอบ
จบการบันทึกรอบของการทดสอบ
จัดพื้นที่ที่ใช้ทำการทดสอบให้เรียบร้อย และเตรียมพร้อมสำหรับผู้เข้าร่วมรายต่อไป
การทำ user testing ขั้นที่ 6: วิเคราะห์ผลและส่งมอบผลลัพธ์
ในขั้นสุดท้าย เราจะรวบรวมผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ user testing แต่ละรอบออกมาเป็นรายงานที่ครบถ้วนสำหรับลูกค้าของเรา รวมถึงวิเคราะห์ประเด็นสำคัญที่จะใช้สำหรับการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ในอนาคต
นอกเหนือจากรายงานแล้ว เรายังสามารถจัดเตรียมรายงานผลการทดสอบอื่นๆ ได้ถึง 2 แบบ ได้แก่
ถอดเสียงบทสนทนาในช่วงที่ทำ user testing
การแปลรายงานสรุปและการถอดเสียงบทสนทนา
หลังจากทำรายงานสรุปและถอดเสียงบทสนทนาเสร็จแล้ว เราจะกำหนดวันที่ในการส่งมอบข้อมูลต่างๆ ที่ได้รวบรวมมาให้กับลูกค้า ประกอบด้วย
รายงานฉบับสมบูรณ์พร้อมข้อมูลเชิงลึกและประเด็นสำคัญ
การถอดเสียงและการแปลบทสนทนา (แล้วแต่กรณี)
ไฟล์วิดีโอทั้งหมดของแต่ละรอบการทดสอบ user testing (แล้วแต่กรณี)
ในรายงานจะนำเสนอรูปแบบสำคัญของวิธีที่ผู้เข้าร่วมการทดสอบ user testing ทำระหว่างการใช้ผลิตภัณฑ์ต้นแบบ หากเราพบปัญหาที่เกิดขึ้นจากการออกแบบเพียงเล็กน้อยในขั้นตอน UX optimization เราจะแจ้งให้ลูกค้ารับทราบถึงการปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ทันที
อย่างไรก็ตาม หากพบปัญหาพื้นฐานของการออกแบบผลิตภัณฑ์ดิจิทัลในระหว่างเซสชันการทำ user testing ที่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงการออกแบบครั้งใหญ่ เราจะปรึกษาลูกค้าในเรื่องขอบเขตการทำงาน เพื่อเสาะหาแนวทางที่ดีที่สุดต่อไป