7 สิ่งที่ควรรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณา (Ad Campaign Optimization)
ในแวดวงการตลาดดิจิทัลที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจต่างๆ ต่างมองหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย รวมไปถึงการสร้างยอดขายให้ธุรกิจออนไลน์ คำที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุดก็คือ การเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณา (Ad Campaign Optimization)
การ optimize โฆษณาเป็นกระบวนการ เพิ่มผลลัพธ์โฆษณาออนไลน์ให้สูงสุด โดยการสร้างรูปแบบต่างๆ จากนั้นนำมาทดสอบเปรียบเทียบกันเพื่อดูว่าโฆษณาเวอร์ชันใดทำงานได้ดีกว่าและสามารถบรรลุเป้าหมายทางการตลาดขององค์กรได้
บทความนี้จะบอก 7 ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณา เพื่อเป็นไอเดียในการพัฒนาแคมเปญโฆษณาของคุณเอง
คำถามที่ 1 - หลักในการ Optimize แคมเปญโฆษณาคืออะไร?
เราจำเป็นต้องทดสอบรูปแบบต่างๆ ของโฆษณาเพื่อพิจารณาว่ารูปแบบใดทำงานได้ดีที่สุด เพื่อดำเนินการเพิ่มผลลัพธ์ของโฆษณา รวมไปถึงยอดขาย อย่างมีประสิทธิภาพ มีหลักการสำคัญหลายประการที่ควรคำนึงถึง เราขอแนะนำหลักการซึ่งเรียกรวมกันว่า RCCM เพื่อให้โฆษณาได้รับประสิทธิภาพสูงสุดดังต่อไปนี้
Research (ค้นคว้าข้อมูล)
Creative (ชิ้นงานโฆษณา)
Channel (ช่องทางโปรโมท)
Measure (วัดผล)
1. เริ่มต้นด้วยการค้นคว้าข้อมูล
เมื่อช่องทางการตลาดและเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น พฤติกรรมของผู้ซื้อรวมไปถึงการแข่งขันจึงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากปัจจุบันผู้คนสามารถเข้าถึงแบรนด์ได้จากทุกที่และทุกเวลา ดังนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องค้นคว้าข้อมูลก่อนเริ่มทำแคมเปญโฆษณา
ปัจจุบันมีเครื่องมือมากมายที่จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าผู้คนค้นหา และมีพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อสินค้าอย่างไร
Google Trends เป็นเครื่องมือแนะนำคำค้นหายอดนิยม คำที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงความนิยมในการค้นหาในแต่ละช่วงเวลา ที่จะทำให้คุณรู้ว่าลูกค้าของคุณมีโอกาสค้นหาคำไหนในการเลือกซื้อสินค้า และในช่วงเวลาใด
Google Analytics ช่วยให้คุณเห็นข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณแบบเรียลไทม์ รวมถึงจำนวนผู้เยี่ยมชม ระยะเวลาที่พวกเขาอยู่ จำนวนคนที่กลับมา ช่องทางที่เข้ามา และกิจกรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์
Hotjar เป็นที่รู้จักกันดีทำให้คุณรู้พฤติกรรมของคนบนเว็บไซต์ ว่ากำลังสนใจ และหยุดอ่านอยู่ในส่วนใดของเว็บไซต์ผ่าน heatmap
Semrush สามารถช่วยคุณวิเคราะห์แคมเปญ PPC (Google AdWords) คำหลัก และ backlink
และอื่นๆ
เครื่องมือเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกแก่คุณได้ และช่วยให้คุณสร้างข้อความโฆษณา เนื้อหา และแม้แต่ภาพที่ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถบอกคุณได้ว่าลูกค้าของคุณใช้เวลากับช่องทางใดมากที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตัดสินใจว่าจะวางตำแหน่งโฆษณาของคุณอย่างไรและที่ใด หลังจากรวบรวมข้อมูลจากการค้นคว้าแล้ว คุณสามารถใช้เพื่อพัฒนากลยุทธ์โฆษณาที่ให้ผลลัพธ์ดีขึ้น
2. ทำ Creative Ads ที่ตอบโจทย์ความต้องการ
แคมเปญโฆษณาที่ประสบความสำเร็จมักมีจุดดึงดูดลูกค้าให้สนใจ กระชับ และตรงประเด็น หากคุณอยากประสบความสำเร็จในการโฆษณา คุณจะต้องหาวิธีดึงดูดความสนใจของผู้คนที่กำลังผ่านมาเห็นโฆษณาอย่างรวดเร็ว กระชับ ไม่ให้รู้สึกว่าเป็นสิ่งรบกวน น่ารำคาญ โฆษณาของคุณควรสนุกสนาน และช่วยแก้ปัญหาที่ลูกค้ากำลังเผชิญ เพื่อให้กระตุ้นความสนใจ ให้เลือกซื้อสินค้าของคุณ
3. เลือกช่องทางที่ดีที่สุดสำหรับการโฆษณาของคุณ
ปัจจุบันมีตัวเลือกการโฆษณาที่หลากหลาย ตั้งแต่สื่อดั้งเดิมไปจนถึงสื่อดิจิทัลที่มากมาย การเลือกช่องทางที่กลุ่มประชากรเป้าหมายของคุณใช้บ่อยที่สุด และสร้างโฆษณาที่มีความคิดสร้างสรรค์ และเกี่ยวข้องกับพวกเขาโดยเฉพาะ ประกอบกับใช้ข้อมูลเชิงลึกที่คุณได้รับจากการค้นคว้าในข้อแรก จะช่วยทำให้แคมเปญของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
4. วัดผลอย่างสม่ำเสมอ และทำการปรับแคมเปญ
การเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณา (ad campaign optimization) เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมลูกค้าอยู่เสมอ และสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการ
สิ่งแรกที่คุณต้องทำความเข้าใจคือการวัดผลทางธุรกิจของคุณ เช่น ถ้าคุณต้องการ lead ยอดขาย หรือผู้ติดตาม หลังจากกำหนดเป้าหมายทางการตลาดแล้ว โปรดจำไว้ว่าในการตั้งค่าโฆษณานั้น คุณสามารถเลือกเป้าหมายได้เพียงเป้าหมายเดียว
มีเทคนิคการวัดผลการโฆษณามากมายสำหรับทั้งสื่อดั้งเดิม และสื่อออนไลน์อยู่ สำหรับแหล่งข้อมูลออนไลน์นั้น เครื่องมืออย่าง Google Analytics จะช่วยให้คุณเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าได้
จากนั้นจึงตรวจสอบผลลัพธ์ของโฆษณาของคุณและปรับปรุงให้ดีขึ้น จำไว้เสมอว่า เนื่องจากทั้งเทรนด์และพฤติกรรมของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงไม่มีโฆษณาใดที่สมบูรณ์แบบ
คำถามที่ 2 - ทำไมการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณา (Ad Campaign Optimization) จึงมีความสำคัญ?
การเพิ่มประสิทธิภาพการโฆษณาที่มีประสิทธิภาพสามารถให้ประโยชน์ในวงกว้างในด้านต่างๆ สำหรับธุรกิจได้ โดยคุณสามารถ:
2.1 ทำให้มีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและ ROI ที่ดีขึ้น
ประโยชน์หลักอย่างหนึ่งของการเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณา คือ สามารถเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของธุรกิจได้อย่างมาก
ด้วยการทดสอบและปรับแต่งโฆษณาของคุณอย่างต่อเนื่อง คุณจะเข้าใจผลกระทบของโฆษณาได้ดีขึ้นด้วยข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้รับจากความพยายามในการเพิ่มประสิทธิภาพ ข้อมูลนี้จะให้คำแนะนำในการปรับปรุงกลยุทธ์การโฆษณาของคุณ เพื่อให้โฆษณาของคุณสามารถเข้าถึงผู้ชมที่เหมาะสมด้วยข้อความที่เหมาะสม ในเวลาที่เหมาะสม
ดังนั้น การดูผลตอบรับ การวิเคราะห์เกี่ยวกับประสิทธิภาพแคมเปญของคุณอย่างต่อเนื่องและการปรับปรุง จะสามารถเพิ่มผลลัพธ์จากโฆษณาให้คุณ ซึ่งนำไปสู่ ROI ที่สูงขึ้นได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งหากธุรกิจของคุณมีทรัพยากรจำกัด เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาช่วยให้มั่นใจได้ว่างบประมาณการโฆษณาของคุณจะถูกใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
2.2 ประหยัดทั้งเวลาและเงิน
การปรับคำค้นหา หรือ keyword ให้เหมาะสมจะช่วยประหยัดเวลาในการโฆษณาในอนาคต จากนั้น ในแคมเปญถัดไปของคุณ คุณสามารถนำ keyword ที่ดีที่สุด ไปเขียนโฆษณาที่ดึงดูดลูกค้ามากขึ้น เพิ่มอัตราการคลิก (CTR) ที่สูงขึ้น เพิ่มยอดขาย อีกทั้งยังช่วยปรับปรุงคะแนนคุณภาพของโฆษณา Google (Quality Score) ของคุณ
หากโฆษณา keyword และเว็บไซต์ของคุณมีความเกี่ยวข้องกันทั้งหมดแล้ว Quality Score ของคุณจะดีตาม หลังจากนั้นเงินที่คุณต้องจ่ายต่อคลิก (CPC) ของคุณก็จะลดลง และอันดับโฆษณาของคุณในผลการค้นหาของ Google ดีขึ้น ด้วยวิธีนี้ คุณก็จะสามารถประหยัดทั้งเวลาและเงินได้ในระยะยาว
2.3 สร้างเนื้อหาที่เหมาะสม เข้าถึงลูกค้าตัวจริง
ลองใช้ภาพโฆษณา ข้อความใหม่ๆ หรือเพิ่มเวอร์ชันต่างๆ เพื่อเช็กว่าข้อความหรือภาพใดทำงานได้ดีที่สุด จะช่วยให้คุณเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าตัวจริง ในอนาคตการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้เหมาะสมกับชิ้นงานที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า รวมไปถึงการเพิ่มผลลัพธ์ และ conversion rate จะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณอีกต่อไป
2.4 นำหน้าคู่แข่งไปอีกขั้น
ในตลาดดิจิทัลทุกวันนี้ ธุรกิจต้องนำหน้าคู่แข่งจึงจะประสบความสำเร็จ การเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาสามารถช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายนี้ได้ โดยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับคุณ ด้วยการทดสอบและปรับปรุงโฆษณาของคุณอย่างต่อเนื่อง คุณจะพบวิธีที่ดีที่สุดในการทำการตลาดกับสินค้าของคุณ ทำให้คุณได้เปรียบเหนือคู่แข่ง นอกจากนี้ การเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณายังช่วยให้คุณติดตามเทรนด์ล่าสุดของอุตสาหกรรม และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดของคุณให้ดียิ่งขึ้น
2.5 สร้างโอกาสใหม่
ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณา คุณสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ เช่น ข้อความ และวิธีการกำหนดเป้าหมายใดทำงานได้ดีที่สุด และช่องทางหรือกลยุทธ์ใดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณ สิ่งนี้สามารถช่วยคุณค้นหาตลาดและกลุ่มลูกค้าใหม่ที่คุณไม่เคยนึกถึงมาก่อน
นอกจากนี้ การเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณายังเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการติดตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในสาขาธุรกิจของคุณ โอกาสทางธุรกิจใหม่อาจปรากฏขึ้นหากคุณสามารถคาดการณ์การมาถึงของเทรนด์หรือเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างแม่นยำ
คำถามที่ 3 - คุณจะเลือกวัตถุประสงค์ของแคมเปญโฆษณาได้อย่างไร?
การกำหนดวัตถุประสงค์ในการเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาให้ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจของคุณบรรลุผลลัพธ์ตามที่ต้องการจากแคมเปญโฆษณาของคุณ ซึ่งอาจเป็นอะไรก็ได้ตั้งแต่การเพิ่ม CTR ไปจนถึงการสร้างโอกาสในการขายมากขึ้น สิ่งสำคัญคือเมื่อคุณทราบวัตถุประสงค์ในการแสดงโฆษณาแล้ว คุณควรกำหนดเป้าของผลลัพธ์ KPI ในแคมเปญของคุณ ตัวอย่างเช่น คุณต้องการเพิ่ม CTR อีก 20 เปอร์เซ็นต์
สิ่งสำคัญคือ ต้องกำหนดเป้าหมายที่เป็นไปได้ตามระดับประสิทธิภาพ และทรัพยากรในปัจจุบันของธุรกิจ คุณควรวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายของคุณ และ KPI ที่คุณต้องการวัด เมื่อคุณกำหนดเป้าหมายและ KPI ที่ชัดเจนแล้ว ให้นึกถึงกลยุทธ์โฆษณาที่สอดคล้องกับ consumer journey
3.1 ขั้นการรับรู้ (Awareness)
ในขั้นตอนนี้ ให้นึกถึงผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าของคุณ ทำให้ลูกค้าตระหนักได้ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณช่วยแก้ปัญหาได้ ให้โฆษณามีความเกี่ยวข้องกับปัญหาของพวกเขา และแสดงให้พวกเขาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข การสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจจะช่วยให้คุณได้รับความสนใจเมื่อพวกเขาเลื่อนดูเนื้อหาบนแพลตฟอร์มที่คุณโฆษณา
3.2 ขั้นพิจารณา (Consideration)
ในขั้นตอนนี้ เขาเหล่านั้นจะเริ่มคิดว่าควรแก้ปัญหาอย่างไร โฆษณาที่แสดงให้เห็นว่าคุณแก้ปัญหาสำหรับกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ดีที่สุดที่นี่ คุณยังสามารถ remarketing หรือแสดงโฆษณาไปยังผู้ที่เคยเห็นโฆษณาหรือเนื้อหาของคุณแล้ว
3.3 ขั้นตัดสินใจกระทำ (Conversion)
ในระหว่างขั้นตอนการตัดสินใจ ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าของคุณพยายามหาผู้ให้บริการที่ดีที่สุดสำหรับการแก้ปัญหาของพวกเขา ในกรณีนี้ คุณต้องสร้างเนื้อหาที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อพยายามสร้างแคมเปญโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่:
แพลตฟอร์มโฆษณา (Advertising Platform) : คุณต้องมี ความเชี่ยวชาญขั้นสูงในการ optimize แคมเปญโฆษณา เพื่อการวิเคราะห์ต่างๆ บนแพลตฟอร์มโฆษณาที่คุณต้องการ รวมถึงการตรวจสอบบัญชีโฆษณา และการจัดการ การตั้งค่าเป้าหมาย การเลือก keyword bidding การทำ A/B testing และอื่นๆ เป้าหมายคือการจัดเตรียมวิธีการโฆษณาที่ประสบความสำเร็จซึ่งเป็นประโยชน์ต่อองค์กรของคุณ
ประสบการณ์ของผู้ใช้ (User Experience) : เปรียบเสมือนป้ายหน้าร้านของคุณ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องทำให้น่าสนใจที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยการรวมข้อความที่เกี่ยวข้อง รูปภาพ และปุ่มคำกระตุ้นการตัดสินใจ ในกรณีของโฆษณาบน Google Search นั้นยังหมายถึงการเพิ่มส่วนขยายโฆษณา (ad extension) ด้วย
ตรวจสอบโฆษณาต่อไปหลังจากเปิดตัว เมื่อคุณระบุเวอร์ชันที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดแล้ว คุณสามารถใช้เป็นตัวควบคุมใหม่และทดสอบเวอร์ชันใหม่ต่อไปได้ หากธุรกิจไม่ได้ผลลัพธ์ที่คุณต้องการ คุณอาจต้องเปลี่ยนวัตถุประสงค์ และเป้าหมาย ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการแก้ไขเป้าหมาย ปรับแผน หรือกำหนด KPI ใหม่
เมื่อตั้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน คุณจะมั่นใจได้ว่าคุณกำลังพุ่งเป้าเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่สำเร็จให้ธุรกิจของคุณ
คำถามที่ 4 - คุณเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาอย่างไร?
หากคุณมีโฆษณาที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าเกณฑ์อย่างต่อเนื่อง อาจถึงเวลาเลิกใช้โฆษณานั้นแล้วมุ่งเน้นที่รูปแบบใหม่ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่คุณจะทำเช่นนี้ ให้ลองสังเกตสาเหตุที่โฆษณามีประสิทธิภาพต่ำ ทีมงานที่เชี่ยวชาญด้าน performance ของเรา ที่ Morphosis มีคำแนะนำดังต่อไปนี้
ตรวจสอบว่ามีการใช้งบประมาณอย่างเหมาะสมหรือไม่
หากแคมเปญโฆษณาของคุณทำงานได้ไม่ดีเท่าที่คุณต้องการ จำเป็นต้องตรวจสอบว่าใช้งบประมาณของคุณอย่างถูกต้องหรือไม่ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการใช้จ่ายโฆษณาของคุณถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และคุณไม่ได้ใช้จ่ายมากเกินไปกับโฆษณาที่ไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ คุณยังสามารถปรับการจัดสรรงบประมาณเพื่อมุ่งเน้นไปที่แคมเปญหรือแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดได้
ปรับแต่งการกำหนดเป้าหมายของคุณให้ดีขึ้น
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาคือการกำหนดเป้าหมาย การกำหนดเป้าหมายได้ดีขึ้นจะช่วยให้คุณเข้าถึงผู้คนที่เหมาะสม ซึ่งสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากในประสิทธิภาพของแคมเปญของคุณ หากต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการกำหนดเป้าหมาย คุณสามารถตรวจสอบปัจจัยสองสามประการ ได้แก่ keyword, target และ ช่องทางที่เลือกใช้
Keyword Performance : การค้นหา keyword ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณา ด้วยการรีวิว keyword อย่างถี่ถ้วน คุณก็จะรู้ว่า keyword ใดที่มีความเกี่ยวข้องและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งนำไปสู่ conversion rate ที่สูงขึ้น และผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีขึ้น
พฤติกรรมของลูกค้า : ใช้เครื่องมือและวิธีการ เช่น heat mapping, session recording, A/B testing, แบบสำรวจ, การทดสอบผู้ใช้ ฯลฯ เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้ชม และค้นหาว่าส่วนใดของแคมเปญโฆษณาของคุณที่ผู้ชมเป้าหมายไม่สนใจ
การระบุช่องทางของลูกค้า : การรู้ว่าแต่ละช่องทางนำผู้คนมาสู่ข้อเสนอของคุณได้ดีเพียงใด ช่วยให้คุณทุ่มเทให้กับช่องทางเหล่านี้ได้มากขึ้น เครื่องมือที่สามารถช่วยในการระบุแหล่งที่มา ได้แก่ Google Attribution และ Adobe Analytics
หลังจากตรวจสอบปัจจัยที่ส่งผลต่อแคมเปญโฆษณาของคุณแล้ว ให้ตรวจทานตัวเลือก การกำหนดเป้าหมาย และพิจารณาใช้พารามิเตอร์การกำหนดเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น ข้อมูลส่วนตัว ความสนใจ หรือที่อยู่ เพื่อให้แน่ใจว่าโฆษณาของคุณแสดงต่อผู้ชมที่เกี่ยวข้องมากที่สุด
ทดสอบรูปแบบโฆษณาใหม่ / หยุดโฆษณาที่ไม่เกิดผลลัพธ์ชั่วคราว
หากโฆษณาปัจจุบันของคุณทำงานได้ไม่ดี อาจถึงเวลาทดสอบโฆษณารูปแบบใหม่ สร้างรูปแบบโฆษณาใหม่ด้วยข้อความ ภาพ หรือข้อเสนอที่แตกต่างกัน และทดสอบกับโฆษณาปัจจุบันของคุณ เมื่อใช้การ A/B testing กับแคมเปญที่มีสื่อและเนื้อหาประเภทต่างๆ กัน คุณจะทราบได้ว่าสื่อประเภทใดที่ดึงดูดผู้คนให้สนใจและเพิ่ม conversion
นอกจากนี้ ให้หยุดโฆษณาที่ไม่เกิดผลลัพธ์ชั่วคราวเพื่อให้แน่ใจว่าค่าโฆษณาของคุณถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปรับ Bidding
การปรับ bidding ยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาของคุณได้อีกด้วย ลองทดสอบ bidding strategy ต่างๆ เช่น ราคาต่อหนึ่งคลิก (CPC) หรือราคาต่อการแสดงผล (CPM ) และ ปรับ bid strategy ของคุณให้สู้คู่แข่ง และเพิ่มการแสดงโฆษณาของคุณให้มากขึ้น
หากคำแนะนำข้างต้นไม่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาที่มีประสิทธิภาพต่ำ อาจถึงเวลาที่ต้องเจาะลึกลงไปในข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจ ซึ่งหมายถึงการทำวิจัยตลาดเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความต้องการและความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายของคุณ และใช้การกำหนดเป้าหมายตามภูมิศาสตร์เพื่อค้นหาพื้นที่ที่ธุรกิจของคุณอาจมีศักยภาพแต่ยังไม่ได้ใช้
คำถามที่ 5 - คุณควรทำการปรับแต่งแคมเปญโฆษณาหรือ Optimize ad บ่อยแค่ไหน?
ความถี่ของการเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาจะขึ้นอยู่กับเป้าหมาย งบประมาณ ระยะเวลา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานการณ์ของคุณ โดยปกติแล้ว แพลตฟอร์มส่วนใหญ่มักแนะนำว่าการ optimize ควรทำหลังจากที่คุณมีข้อมูลย้อนหลังเพียงพอในระบบ บางแพลตฟอร์มบอกว่าคุณต้องมี conversion อย่างน้อยหนึ่ง conversion ต่อวัน ในขณะที่บางแพลตฟอร์มอาจบอกว่าควรมีมากกว่า 100 conversion ต่อวัน
หากแคมเปญไม่ได้ผล คุณอาจจะทดสอบโฆษณารูปแบบใหม่ได้บ่อยเท่าที่คุณต้องการ เช่น ทุกสองสามสัปดาห์ หรือหลายเดือน ซึ่งช่วยให้คุณมีเวลาเพียงพอในการรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูล ในขณะเดียวกันก็มั่นใจได้ว่าคุณสามารถทำการปรับเปลี่ยนที่จำเป็นได้ทันท่วงที
อย่างไรก็ตาม แคมเปญที่สั้นกว่าหรืองบประมาณที่น้อยกว่าอาจต้องการการ optimize ที่บ่อยกว่า เช่น รายวันหรือทุกๆ 2-3 วัน เนื่องจากแคมเปญเหล่านี้ต้องการการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเพื่อให้บรรลุเป้าหมายภายในกรอบเวลาที่จำกัด
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของแคมเปญ เช่น การเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ คู่แข่ง หรือการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ในกรณีเหล่านี้ อาจจำเป็นต้องเพิ่มความถี่ของการ optimize ให้บ่อยขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าแคมเปญยังคงมีประสิทธิภาพ
หากคุณไม่มีเวลาหรือต้องการเร่งผลลัพธ์ให้ธุรกิจของคุณ สามารถติดต่อทีมการตลาดออนไลน์มืออาชีพ เพื่อให้เราแนะนำคุณด้วยความเชี่ยวชาญ
คำถามที่ 6 - อะไรบ้างที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ หรือ Learning Phase ของโฆษณา?
การทำ ad optimization ส่งผลต่อช่วงการเรียนรู้ (Learning Phase) การวิเคราะห์ข้อมูล ของการโฆษณาออนไลน์ ในช่วงเริ่มต้น อัลกอริทึมจะเรียนรู้เพื่อที่จะเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และผลลัพธ์ให้มากที่สุด ทว่า การปรับแคมเปญบ่อยครั้ง ก็ส่งผลต่อการเรียนรู้เช่นเดียวกัน ซึ่งอาจกระทบต่อการมองหาผลลัพธ์ที่แย่ลง แทนที่จะดีขึ้นได้
ต่อไปนี้คือปัจจัยที่ส่งผลต่อ Learning Phase ของโฆษณาคุณ:
1. การเปลี่ยนแปลงกลุ่มเป้าหมาย: เมื่อคุณปรับกลุ่มเป้าหมาย เช่น การจำกัดหรือขยาย location ของคุณ Learning Phase ของแคมเปญโฆษณาของคุณอาจเริ่มต้นใหม่ เนื่องจากอัลกอริทึมต้องการเวลาในการทำความเข้าใจและเรียนรู้จากผู้ชมใหม่
2. การอัปเดตชิ้นงานโฆษณา: ชิ้นงานโฆษณา (creative) เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณา อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงชิ้นงานโฆษณาของคุณสามารถรีเซต Learning Phase ของแคมเปญโฆษณาของคุณได้ อัลกอริทึมต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจชิ้นงานใหม่ของคุณ และ การแก้ไขอาจทำให้ Learning Phase หยุดชะงักได้
3. Reoptimization : การเปลี่ยน Event เช่น จาก link click เป็น conversion ส่งผลเสียต่อ Learning Phase ได้เช่นกัน อัลกอริทึมต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจว่าโฆษณาของคุณทำงานอย่างไรเมื่อเทียบกับการกำหนดเป้าหมายใหม่
4. เพิ่มชิ้นงานโฆษณาใหม่: การเพิ่มชิ้นงานโฆษณาใหม่ อาจทำให้ Learning Phase ของแคมเปญโฆษณาของคุณเริ่มใหม่ได้ อัลกอริทึมต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจชิ้นงานโฆษณาแต่ละรายการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
5. การหยุดแคมเปญ: เมื่อคุณหยุดแคมเปญ อัลกอริทึมจะสูญเสียการเข้าถึงข้อมูลที่ต้องใช้ในการ optimize โฆษณาของคุณ เช่น ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า และข้อมูลผลลัพธ์ต่างๆ
6. การเปลี่ยนแปลง Bid Strategy : การปรับ bid strategy ยังสามารถรีเซต Learning Phase ได้อีกด้วย อัลกอริทึมต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจว่า bid strategy ของคุณส่งผลต่อประสิทธิภาพของโฆษณาอย่างไร และการเปลี่ยนแปลงอาจทำให้ Learning Phase หยุดชะงักได้
7. ประสิทธิภาพโฆษณาที่ต่ำเกินไป : ในช่วง Learning Phase อัลกอริทึมจะมีการเรียนรู้ ทดสอบการแสดงโฆษณาที่ได้ผลดี และรวบรวมข้อมูลว่าลูกค้าคุณตอบสนองต่อโฆษณาอย่างไร หากโฆษณาทำงานได้ไม่ดี อัลกอริทึมอาจมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะเรียนรู้ และตัดสินใจว่าควรแสดงผลกับลูกค้าคุณอย่างไร
คำถามที่ 7 - การ Optimize ads สามารถช่วยธุรกิจติดตามลูกค้าได้อย่างไร?
ส่วนที่สำคัญที่สุดของการ optimization คือ การติดตามลูกค้า ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจผลลัพธ์ของโฆษณา และช่วยให้คุณปรับแผนการตลาดได้อย่างละเอียด
คุณสามารถทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ดีขึ้นโดยการ track เมตริกต่างๆ เช่น CTR, conversion rate และเงินที่จ่ายในแต่ละ converesion (CPA) ด้วยการวิเคราะห์เมตริกเหล่านี้ คุณสามารถระบุได้ว่าโฆษณาใดทำงานได้ดี และโฆษณาใดจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าของคุณได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ad optimization ยังช่วยให้คุณติดตามผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าได้โดยการให้เมตริกโดยละเอียดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโฆษณา เช่น CTR ราคาต่อหนึ่งคลิก และ conversion rate ซึ่งช่วยให้คุณวัดความสำเร็จของแคมเปญโฆษณาและระบุว่าโฆษณาใดทำให้เกิด conversion ได้มากที่สุด
นอกจากนี้ คุณสามารถใช้การ retargeting เพื่อติดตามลีดและนำกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณได้ เมื่อใช้พิกเซลหรือคุกกี้ คุณสามารถระบุคนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ หรือมีส่วนร่วมกับโฆษณาของคุณ จากนั้นจึงแสดงโฆษณาไปที่เขาเหล่านั้น เพื่อนำพวกเขากลับมาที่เว็บไซต์
เจ้าของธุรกิจหลายท่านคงต้องการติดตามลูกค้าจากออนไลน์เป็นออฟไลน์ เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภค และตัดสินใจได้ถูกต้องเมื่อจำเป็นต้องปรับแคมเปญโฆษณา ซึ่งมีความสำคัญหากธุรกิจของคุณจำเป็นต้องอาศัยปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นตัวตน อย่างเช่น ธุรกิจประกัน รถยนต์ หรืออสังหาริมทรัพย์
ในอดีต เรามักใช้การถามลูกค้าว่าเห็นสื่อจากที่ใด แต่ปัจจุบัน การใช้ UTM tracking บนสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์ หรือออฟไลน์ จะช่วยให้คุณรู้แหล่งที่มาของลูกค้าโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากถามลูกค้าของคุณ นอกจากนี้ ในบางแพลตฟอร์ม หากลูกค้าล็อกอินด้วยอีเมลเดียวกัน คุณยังสามารถเข้าใจพฤติกรรมของเขาในสื่อหลากหลายประเภท จนกระทั่งปิดการขายจากหน้าร้านได้เลยทีเดียว ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้เจ้าของธุรกิจคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของเงินที่คุณใช้ไปกับการตลาดในแคมเปญต่างๆ ได้
นอกจากนี้ การติดตามลูกค้าเป้าหมายแบบออฟไลน์ยังช่วยให้คุณได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและความชอบของลูกค้า คุณสามารถระบุรูปแบบและปรับกลยุทธ์การตลาด และการขายของคุณได้โดยการติดตามการโต้ตอบและการซื้อด้วยตนเอง
ดังนั้น แม้ว่าการติดตามลูกค้าเป้าหมายออนไลน์จะมีความสำคัญ แต่อย่ามองข้ามการติดตามลูกค้าเป้าหมายออฟไลน์ ด้วยการดึงดูดลีดจากทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ คุณจะได้รับความเข้าใจที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเกี่ยวกับลูกค้าของคุณ และทำการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเพื่อปรับปรุงการตลาดและความพยายามในการขายของคุณ
บทสรุป
การ optimize ad ช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ผลตอบรับที่ดีขึ้นด้วยการปรับกลยุทธ์การใช้ข้อความที่ดึงดูด ตำแหน่งโฆษณา และเลือกกลุ่มเป้าหมายที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ข้อมูลของแคมเปญโฆษณาที่รวบรวมตลอดแคมเปญควรได้รับการวิเคราะห์เพื่อเพิ่ม performance แคมเปญตามผลลัพธ์ และพัฒนากลยุทธ์ที่ดีขึ้นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่สูงขึ้น หรือเป้าหมายทางธุรกิจอื่นๆ
ฟังดูเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าใช่ไหม? อย่างไรก็ตาม การสร้าง ROI ที่ดีและการสร้างตัวชี้วัดที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งที่ท้าทาย หากคุณกำลังมองหาบริษัทที่สามารถช่วยคุณวางกลยุทธ์ และเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโฆษณาของคุณ ทีมงานมืออาชีพที่เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้ความช่วยเหลือคุณ