5 เทรนด์การออกแบบ UX/UI ที่น่าสนใจ
เผยแพร่เมื่อ 19 Sep 2023 โพสไปที่สรุปสาระสำคัญ:
การเติบโตอย่างรวดเร็วของ website creator ที่รวมฟีเจอร์ animation และ motion ไว้ในรากฐานของการออกแบบอินเทอร์เฟซ
Bold typography หรือ ตัวอักษรตัวหนาขนาดใหญ่จะทำให้ผู้ใช้ใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังเป็นที่รู้กันดีอีกด้วยว่าการทำแบบนี้ไม่สามารถช่วยเพิ่ม conversion ได้เท่าไรนัก
Neomorphism แสดงให้เห็นถึงอนาคตของการออกแบบ UI โดยผสมผสานองค์ประกอบอันล้ำยุคและมินิมอลไว้ในเอาต์ไลน์
มีผู้ใช้จำนวนมากที่เปลี่ยนจากหน้าจอสีขาวไปใช้อินเทอร์เฟซสีเข้มเพื่อลดความจ้าของแสงที่ทำให้เกิดอาการปวดตา
Empty space หรือ white space ช่วยให้เน้นคอนเทนต์ที่ต้องการได้อย่างน่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากการออกแบบอื่นๆ ถูกย่อให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อเพิ่มความสวยงามด้วยการทำให้ดูเปล่งประกาย
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบันได้กระตุ้นให้ผู้ใช้โฟกัสไปยังปัจจัยอื่นๆ นอกเหนือจากตัวโปรดักต์ ซึ่งรวมถึงวิธีการแสดงโปรดักต์แบบดิจิทัลด้วย แน่นอนว่าการออกแบบ UX/UI มีความสามารถในการกำหนดความต้องการของโปรดักต์ โดยมีการปรับเปลี่ยนและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันกับตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง
เมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ต่อไปนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับเทรนด์ล่าสุดเกี่ยวกับ UX/UI 5 ประการที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมต่อไปในอนาคต
1. การออกแบบ animation และ motion
การออกแบบ animation และ motion ที่สวยงามน่าดึงดูดใจระดับท็อปของวงการ มาจากการร่วมกันสร้างสรรค์ขึ้นมาจนกลายเป็นหนึ่งในเทรนด์หลักของการออกแบบ UX/UI เทรนด์นี้หมายถึงการที่ผู้สร้างเว็บไซต์จำนวนมากได้ปรับเปลี่ยนงานของตนไปเน้นคอนเทนต์ที่ดึงดูดสายตาผู้ใช้มากขึ้น เช่น วิดีโอและ interactive motions
การเติบโตอย่างมากของ web motions และการใช้แอนิเมชันซ้ำๆ ในปัจจุบันได้เน้นย้ำถึงความโดดเด่นและประสิทธิผลของ illustrative creations เหล่านี้ จนได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นวิธีการที่ช่วยดึงดูดความสนใจและได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้ตลอดจนเพิ่มความยืดหยุ่นและการเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ค่านิยมหลักของธุรกิจสามารถแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนผ่านการออกแบบ motion และ animation ในขณะเดียวกัน การออกแบบทั้งสองสิ่งนี้ยังช่วยอธิบายเรื่องราวของแบรนด์ พร้อมด้วยการเพิ่มความภักดีและการมีส่วนร่วมของแบรนด์เมื่อเวลาผ่านไปได้อีกด้วย
ด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องและแอนิเมชันใหม่ๆ ที่ถูกนำมาใช้ในทุกๆ การคลิก ผู้ชมจะรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังมีส่วนร่วมในความคิดสร้างสรรค์ที่เว็บไซต์กำลังพยายามนำเสนออยู่
แม้จะมีลักษณะที่น่าดึงดูดของการออกแบบที่มีสไตล์ แต่ก็เป็นฟีเจอร์ที่มีราคาแพงที่สุดที่สามารถเพิ่มลงในอินเทอร์เฟซได้อย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม การสร้างการออกแบบ motion เหล่านี้ให้ประสบความสำเร็จและใช้ประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่ จะทำให้ผู้ใช้เข้าใจสิ่งต่างๆ และเรื่องราวเบื้องหลังที่เคลื่อนไหวผ่านคอนเทนต์ที่น่าสนใจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของแบรนด์สำหรับธุรกิจในท้ายที่สุด
2. ตัวอักษรตัวหนาขนาดใหญ่
การออกแบบ UX มีไว้เพื่อช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายต่างๆ ที่ได้วางเอาไว้ โดยตัวอักษรตัวหนาที่มีขนาดใหญ่ที่สะดุดตานั้นจะกระตุ้นให้ผู้ใช้ประทับใจได้ในทันที เนื่องจากพวกเขาจะค้นพบเรื่องราวและจุดประสงค์ที่อยู่เบื้องหลังจอแสดงผลได้ตามที่คุณอยากให้พวกเขารับรู้
Typography ประเภทนี้สามารถดึงดูดความสนใจ, ช่วยปรับปรุงเวลาเฉลี่ยของเว็บไซต์, และยังทำให้ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์นานขึ้นเพื่อสำรวจว่ามีอะไรที่แบรนด์ของคุณนำเสนอบ้าง
แม้จะเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่มีการใช้มากที่สุดในปีนี้ แต่กลยุทธ์นี้ก็ไม่ได้จะทำแล้วสำเร็จทุกครั้งไป จริงอยู่ที่การใช้ข้อความขนาดใหญ่อาจช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ แต่ในขณะเดียวกันก็อาจไม่สามารถเพิ่ม conversion ได้ดีนัก เนื่องจากวัตถุประสงค์หลักของ bold typography คือการเสริมและปรับปรุงคอนเทนต์ที่มีอยู่ ดังนั้น เมื่อการออกแบบไม่สามารถผสานรวมกับคอนเทนต์ได้อย่างเหมาะสม อารมณ์และความรู้สึกที่ไม่ถูกต้องอาจถูกกระตุ้นขึ้นมาแทนที่ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เข้าชมไม่สามารถทำใจและยอมที่จะเชื่อในสิ่งที่ธุรกิจพยายามสื่อสารได้
ซึ่งหมายความว่าการลงทุนในการออกแบบเหล่านี้อาจไม่รับประกันว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ไม่ว่ามันจะปรับปรุงจนมีความสวยงามและช่วยมอบประสบการณ์โดยรวมที่ดีให้กับผู้ใช้ได้มากน้อยเพียงใด
โดยรวมแล้ว นี่ถือเป็นสิ่งที่ดีซึ่งจะช่วยเสริมการออกแบบ typography ด้วยการสื่อสารถึงคุณประโยชน์ให้กับผู้ใช้ได้สำเร็จ รวมถึงรวมนำเสจอภาพที่ชัดเจนว่าบริการหรือโปรดักต์นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร
3. Neomorphism

Neomorphism ได้รับแรงบันดาลใจจากโลกแห่งความเป็นจริงโดยการผสมผสานองค์ประกอบที่นำมาจากวัตถุจริงเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ใช้ได้อย่างเพียงพอ โดยสิ่งต่างๆ ในชีวิตจริงกำลังถูกนำมาใช้เป็นสูตรสำหรับความคิดสร้างสรรค์ที่เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ และทำให้อินเทอร์เฟซดูมีความแปลกใหม่แตกต่างออกไป
Neomorphism เป็นการผสมผสานระหว่าง skeuomorphism และ flat design โดยผสมผสานการใช้เงาและไฮไลต์เพื่อยกระดับองค์ประกอบของความสมจริงและความชอบธรรม ตัวอย่างเช่น Apple เป็นบริษัทเทคโนโลยีแห่งแรกที่ประสบความสำเร็จในการใช้การออกแบบ skeuomorphic ก่อนที่จะเปลี่ยนไปใช้เวอร์ชันที่เรียบง่ายที่เรียกว่า neomorphism
แม้จะยอมรับถึงความเป็นจริงของฟังก์ชันและความล้ำสมัย แต่เราต่างทราบกันดีว่ายังมีประเด็นต่างๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ เมื่อใส่ความสามารถในการเข้าถึงลงในภาพ การปฏิบัติจริงของแนวโน้มที่เป็นที่รู้จักนี้มักถูกตั้งคำถามอยู่บ่อยครั้ง
พื้นหลังและรูปภาพที่ต่างกันเพียงเล็กน้อย อาจทำให้การแยกความแตกต่างระหว่างการ์ดและปุ่มได้ยากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ตราบใดดีไซน์หรือส่วนประกอบต่างๆ มีคอนทราสต์ที่สูง ความสามารถในการมองเห็นก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอีกต่อไป ในท้ายที่สุดแล้ว เทรนด์นี้จะนำเสนอความงามด้วยสีทึบ, การไล่ระดับสี, และเงา ทำให้สามารถใช้สไตล์ 3 มิติได้อย่างสมบูรณ์แบบ
4. Dark Mode

อินเทอร์เฟซสีเข้ม หรือ dark mode กำลังกลายเป็นธีมทางเลือกสำหรับผู้ใช้ โดยความนิยมของ dark mode ได้เข้าครอบครองพื้นที่การออกแบบ UX/UI โดยแบรนด์ต่างๆ เช่น Instagram, Android และ Apple ได้นำแนวคิดเรื่อง color reversion มาใช้และนำไปใช้กับโปรดักต์ของพวกเขา
เริ่มต้นด้วย dark mode ที่ดูทันสมัย
สีที่สวยงามน่าพึงพอใจนั้นเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับผู้ใช้ เนื่องจากพื้นหลังสีขาวที่สว่างตานั้นมีใช้มาสักระยะหนึ่งแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม dark mode ช่วยให้เนื้อหาดูโดดเด่น และยังสามารถเน้นองค์ประกอบการออกแบบได้ครบถ้วนเหมือนเดิม
แม้ว่าจะใช้สีที่มีความอิ่มตัวต่ำกับอินเทอร์เฟซสีเข้ม แต่นั่นก็ทำให้เนื้อหาอ่านได้ง่ายขึ้นและผลักดันให้คอนเทนต์แยกตัวออกมาจากความมืด อินเทอร์เฟซสีเข้มป้องกันไม่ให้ดวงตาของเราจ้องมองแสงจ้ามากเกินไป และช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจน พร้อมกับป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดตาอีกด้วย เนื่องจากสีเข้มและไฟหรี่จะส่งผลต่อการขยายตัวของรูม่านตาน้อยลง
สุดท้ายนี้เรายังสามารถกำหนดการเปิดหรือการปิดใช้งาน dark mode ได้อีกด้วย โดยรูปแบบของอินเทอร์เฟซที่ปรากฏอยู่บนอุปกรณ์ของเราจะปรับเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาที่แตกต่างกันโดยอัตโนมัติ และยังขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้ได้เลือกจะให้เปลี่ยนตามช่วงเวลาไหนได้อีกด้วย
5. Empty หรือ White Space
การเว้นพื้นที่ว่างไว้เพื่อเน้นข้อความให้ดูโดดเด่นนั้นกำลังกลายเป็นเทรนด์ที่พบบ่อยที่สุดในปีนี้ โดยการสร้างพื้นที่ว่างทำให้คอนเทนต์มีโอกาสที่จะได้รับความสนใจจากผู้ชม เนื่องจากสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามารบกวนการเข้าชมเว็บไซต์จะถูกจัดการให้เหลือน้อยที่สุด
นอกจากนี้ยังช่วยให้มีเวลาในการตีความและทำความเข้าใจข้อความได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากมีพื้นที่ว่างมากพอที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถพุ่งเป้าความสนใจไปที่คอนเทนต์ได้อย่างเต็มที่นั่นเอง
วิธีการนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการรวมพื้นที่เพื่อทำให้คอนเทนต์ดูโดดเด่นและช่วยให้ประสบการณ์ในการมองเห็นของผู้ใช้ได้รับการปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้น โดย white space จะมีทั้งหมดสองประเภท ได้แก่ micro และ macro space
Micro white space หมายถึงช่องว่างระหว่างภาพตารางที่แยกลิงก์เมนู ในทางกลับกัน macro white space คือช่องว่างระหว่างเลย์เอาต์หลักๆ ซึ่ง white space ทั้งสองประเภททำงานเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์ที่มีคุณภาพมากที่สุด
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกแบบ UX/UI
การออกแบบ UX/UI มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพการมีตัวตนทางดิจิทัล ซึ่ง UX/UI design ที่ดีจะช่วยกระตุ้น conversion และช่วยเพิ่มจำนวนผู้ใช้โปรดักต์ดิจิทัล แม้จะมีแนวโน้มที่เราได้สรุปไว้สำหรับปีนี้แล้ว แต่ขอบเขตการออกแบบก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยถ้าคุณยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ก็สามารถมาเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเทรนด์ดิจิทัลอื่นๆ ที่กำลังกำหนดทิศทางโลกในปี 2020 และต่อๆ ไป ด้วยการอ่านคู่มือ digital transformation ของเราได้เสมอ