10 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ SEO ที่พบบ่อยที่สุด
ตอนนี้ถึงเวลาที่จะทำลายความเชื่อผิดๆ ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดเกี่ยวกับ SEO แล้ว
ประเด็นสำคัญ:
แม้ว่าความเข้าใจผิดจะถูกหักล้างด้วยข้อเท็จจริงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังมีความเชื่อและความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับวิธีการทำ SEO ให้เห็นอยู่ดี
แม้ว่าความเข้าใจผิดส่วนใหญ่จะไม่เป็นอันตราย แต่ในมุมของการทำ SEO แล้ว สิ่งเหล่านั้นสามารถสร้างหายนะให้เกิดกับธุรกิจของคุณได้ไม่มากก็น้อย และยังทำให้คุณเสียเวลา ทรัพยากร และเงินไปกับการจัดการแก้ไขปัญหาอีกต่างหาก
การทำ SEO ไม่ใช่แค่การกำหนดคีย์เวิร์ดหลักเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายข้อที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดีขึ้นในเครื่องมือค้นหาที่เรียกว่า search engine
กระทิงโกรธทันทีเมื่อเห็นสีแดง แคร์รอตช่วยให้คุณมองเห็นในที่มืด ปลาทองมีความทรงจำเพียงสามวินาที และคุณจะเป็นตะคริวถ้าหากได้ลงไปว่ายน้ำหลังกินอาหารใช่ไหม?
เมื่อเราใช้เวลาทั้งชีวิตในการเชื่อและสนุกสนานกับตำนานที่เล่ากันปากต่อปากและความเข้าใจผิดที่ส่งต่อกันมา จึงเป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะออกว่าอะไรจริงอะไรเท็จ โดยความเข้าใจผิดที่เราได้เกริ่นไว้ตอนต้นนั้นเป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ของสิ่งที่เราได้เรียนรู้และเลือกที่จะเชื่อตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
มายาคติถูกกำหนดให้เป็นความเชื่อหรือความคิดที่ยึดถือกันอย่างแพร่หลาย แต่ความเข้าใจเหล่านั้นกลับไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด แม้ว่าตำนานส่วนใหญ่จะเชื่อได้โดยไม่เป็นอันตรายอะไร แต่ในโลกของ SEO ความเชื่อผิดๆ เหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณอาจต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรที่มีค่าไปอย่างเปล่าประโยชน์ โดยเฉพาะในตอนที่คุณมีเวลาและเงินสำหรับการทำธุรกิจอย่างจำกัด
ต่อไปนี้คือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ SEO ที่พบบ่อยที่สุด 10 ข้อ ที่ดูเหมือนว่าความเชื่อเหล่านี้จะยังคงอยู่ แม้ว่าความจริงจะถูกอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากปากของผู้เชี่ยวชาญตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
1. “ไม่จำเป็นต้องทำวิจัยคีย์เวิร์ด (Keyword Research)”
ดูเหมือนว่าทุกคนจะพูดถึง search engine ในมุมมองที่แต่งต่างกัน คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าลูกค้าของคุณจะค้นหาสินค้าหรือบริการผ่าน Google ด้วยการใช้คีย์เวิร์ดแบบไหน และจะเป็นสิ่งที่คุณนำเสนออยู่บนเว็บไซต์ของคุณหรือไม่?
เมื่อคุณเลือกใช้กลยุทธ์ SEO สำหรับธุรกิจของคุณแล้ว การทำ keyword research มักจะถูกมองข้ามไปโดยปริยาย และคิดไปว่าเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ โดยเหตุผลที่หลายคนคิดว่าการวิจัยคีย์เวิร์ดไม่จำเป็น ก็เพราะว่าพวกเขาเป็นเจ้าของธุรกิจ และนั่นทำให้พวกเขารู้จักผู้ใช้ของตัวเองดียิ่งกว่าใคร
นั่นเป็นตัวการหลักที่ทำให้เกิดความเชื่อที่ผิดๆ ว่าคุณสามารถใช้ตรรกะและสมมติฐานของตัวเอง เพื่อตัดสินว่าคีย์เวิร์ดใดบ้างที่ควรนำมาใช้กับเว็บไซต์ของคุณ อย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือคุณต้องการข้อมูลที่เป็นรูปธรรมเพื่อใช้ตัดสินว่าคีย์เวิร์ดนั้นจะเป็นคำที่ดีหรือไม่ หรือแม้กระทั่งเป็นคีย์เวิร์ดที่จะพาเว็บไซต์ของคุณให้ขึ้นไปติดอันดับดีๆ จึงพูดได้ว่าการทำ keyword research มีความสำคัญอย่างมากในการทำให้คุณมั่นใจว่าจะเลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องและมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อที่จะกระตุ้นให้เกิดการเข้าชมเพิ่มขึ้นรวมถึงสร้าง conversion ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
ผลลัพธ์ที่ตามมาหากคุณไม่ได้ทำการวิจัยคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมก็คือการเลือกใช้คีย์เวิร์ดผิด ให้คุณเตรียมทำใจไว้ได้เลยว่ายอดผู้เข้าชมเว็บไซต์จะน้อยและไม่เป็นตามเป้า เพราะการเลือกคีย์เวิร์ดที่ผิดสำหรับการใช้เป็นคีย์เวิร์ดหลัก นั่นคือวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณตกอันดับและไม่มีใครมองเห็น
การกำหนดคีย์เวิร์ดที่ไม่ถูกต้อง เช่น คีย์เวิร์ดนั้นมีคนค้นหาเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย นั่นหมายความว่าคอนเทนต์ที่คุณทำด้วยการเลือกใช้คีย์เวิร์ดเหล่านั้นก็จะแทบไม่มีใครเห็นผ่านทาง search engine มากนัก ไม่เพียงเท่านี้ หากคุณเลือกคีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันมากเกินไป เว็บไซต์ของคุณก็มีโอกาสที่จะไต่ไปสู่อันดับแรกๆ ได้ยาก จนบางครั้งก็แทบไม่มีใครมองเห็นเว็บไซต์ของคุณด้วยซ้ำไป
2. “ยิ่งใช้คีย์เวิร์ดมากเท่าไร ยิ่งช่วยให้เว็บไซต์มีอันดับดีขึ้นเท่านั้น”
ยิ่งใช้มากยิ่งดีใช่ไหม? คำตอบคือ ผิด โดยเฉพาะเมื่อคุณทำ SEO ให้กับเว็บไซต์ของตัวเอง บางทีคุณอาจเผลอไปใช้ทางลัดและเดินสายมืดอย่าง “black hat” ที่มักเลือกใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องในการเพิ่มอันดับการค้นหาเว็บไซต์ของคุณ อย่างไรก็ตาม วิธีลัดไปสู่ความสำเร็จนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อเว็บฯ ของคุณเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับผลเสียที่อาจทำให้อันดับเว็บไซต์ของคุณตกลงในอนาคต
มีหลายคนเข้าใจผิดคิดไปว่าหากต้องการทำให้เว็บมีอันดับที่ดีขึ้น จะต้องใส่คีย์เวิร์ดในเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่ Google จะได้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณเกี่ยวข้องกับคำค้นหาเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม การใช้คีย์เวิร์ดซ้ำไปซ้ำมามากเกินไป หรือใส่ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง การกระทำดังกล่าวอาจทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกปรับลดคะแนน SEO เพราะตรวจพบว่ามีการสแปมคีย์เวิร์ดเกิดขึ้น สาเหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะคุณทำไม่ถูกต้องตามแนวทางและหลักเกณฑ์ที่ Google ได้ระบุเอาไว้สำหรับการทำ SEO
นอกจากการละเมิดหลักเกณฑ์แล้ว การใช้คีย์เวิร์ดไปในทางที่ผิดยังทำให้ผู้ใช้ได้สัมผัสประสบการณ์ที่แย่เมื่อพวกเขาเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ โดยเนื้อหาต่างๆ และคีย์เวิร์ดบนเว็บไซต์ของคุณควรโฟกัสไปที่การมอบสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการเสมอ และหากคุณได้ใส่คีย์เวิร์ดลงในหน้าเว็บของคุณแล้ว แต่คุณไม่สามารถตอบโจทย์สิ่งที่ผู้ใช้ของคุณต้องการได้ ก็จะทำให้ bounce rate สูงขึ้นอย่างชัดเจน แทนที่คุณพยายามจะหาทางลัดด้วยการเอาชนะอัลกอริทึมของ Google เราแนะนำให้คุณตั้งใจสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ยอดเยี่ยมสำหรับเว็บไซต์ของคุณจะดีกว่า
3. “คอนเทนต์ไม่สำคัญถ้าเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ถูกต้อง”
เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็เข้าใจผิดว่าการทำ SEO คือการกำหนดคีย์เวิร์ดเป้าหมายที่จะใช้กับหน้าต่างๆ บนเว็บไซต์ หากคุณกำหนดคีย์เวิร์ดได้ถูกต้องแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปกังวลหรือใส่ใจเรื่องคอนเทนต์ที่จะใช้แต่อย่างใด เพียงแค่มีคีย์เวิร์ดที่ใช่และนำมาใส่ในคอนเทนต์คุณภาพระดับกลางๆ หรือบางทีอาจถึงขั้นแย่ เท่านี้ก็สามารถช่วยให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีขึ้นได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ของคุณจะไม่สามารถขึ้นไปอยู่ในอันดับการค้นหาที่ดีขึ้นได้ หาก search engine พบว่าคอนเทนต์ของคุณไม่ได้มาตรฐานอย่างที่ควรจะเป็น ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้เข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณแล้วไม่พบเนื้อหาที่ต้องการจะอ่าน จนทำให้ bounce rate พุ่งสูงขึ้น ย่อมส่งผลเสียต่ออันดับ SEO ของคุณอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าคุณจะเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ถูกต้องแล้วก็ตาม
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คุณจะไม่สามารถใช้ประโยชน์ที่มาจากการทำ SEO ได้อย่างเต็มที่ หากคุณไม่ได้ตั้งทำใจคอนเทนต์ที่มีความเกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งต้องทำควบคู่กับการเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมและถูกต้องตามหลัก SEO โดยคุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสาเหตุที่ธุรกิจของคุณต้องการทั้ง UX และ SEO ที่นี่
องค์ประกอบบางอย่างที่คุณควรพิจารณาเมื่อได้สร้างคอนเทนต์ก็มาจากตัว Google เอง เริ่มด้วยการตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลบนเว็บไซต์ของคุณมีประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย มีความน่าเชื่อถือ เนื้อหามีคุณภาพสูง และดึงให้ผู้ชมเข้ามามีส่วนร่วมได้ รวมถึงยังต้องให้ในสิ่งที่ดีและเหนือกว่าเว็บไซต์อื่นๆ อีกด้วย
4. “Title tag และ meta description ไม่ใช่สิ่งสำคัญ”
หากคุณทำให้ใครประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกไม่ได้ก็อย่าหวังว่าจะได้รับโอกาสที่สอง ที่กล่าวแบบนี้ก็เพราะว่ารูปแบบการนำเสนอเว็บไซต์ของคุณ จะถูกถ่ายทอดไปสู่ผู้ชมว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ดูเว็บไซต์และธุรกิจของคุณ และนี่คือเรื่องสำคัญมากว่าคุณได้เสนออะไรออกไป
ในโลกของ SEO เราจะเน้นที่การกำหนดเป้าหมายคีย์เวิร์ดหลักเป็นจำนวนมาก จนไปถึงจุดที่หลายคนลืมนึกถึงองค์ประกอบพื้นฐานอย่าง title tag และ meta description ทั้งๆ ที่สองส่วนนี้มีความสำคัญต่อ SEO เนื่องจากเป็นสององค์ประกอบแรกที่ผู้ชมจะเห็นเกี่ยวกับเว็บไซต์ของคุณ
จริงอยู่ที่ title tag และ meta description ไม่ได้ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับใน Google สูงขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้มีหน้าที่สำคัญในการดึงดูดให้ผู้ใช้คลิกลิงก์ที่พวกเขาเห็นเมื่อเว็บไซต์ของคุณถูกจัดอันดับอยู่ในหน้าแรก โดยเราแนะนำว่าคุณควรเขียน title tag ที่มีความยาวไม่เกิน 60 ตัวอักษร ส่วน meta description ประมาณ 155 ตัวอักษร และยังต้องดูให้แน่ใจว่าคุณได้ใส่คีย์เวิร์ดหลักลงในนั้น รวมถึงเขียนให้กระชับและมีความเกี่ยวข้องกับคอนเทนต์อีกด้วย
5. “อันดับคือทุกสิ่งทุกอย่าง”
การที่เว็บไซต์ของคุณถูกจัดอันดับสูงขึ้นดูเหมือนจะเป็นตัวอย่างที่ดีของความสำเร็จในการทำ SEO อย่างไรก็ตาม หลายคนเข้าใจผิดว่าการจัดอันดับของ Google นั้นสำคัญที่สุด ถึงแม้ว่าการจัดอันดับจะมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดผู้ใช้ให้เข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณมากขึ้น แต่การเข้าชมเหล่านั้นจะไม่มีความหมายอะไรเลยหากบรรดาผู้ใช้ไม่ได้มีการ conversion ขณะใช้งานเว็บไซต์ของคุณ
เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้จะอยู่ใช้งานเว็บไซต์ของคุณต่อไป คุณจะต้องจัดเตรียมเนื้อหาที่มีประโยชน์และน่าสนใจ เพื่อการันตีว่าผู้ใช้ของคุณได้รับประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจ รวมถึงกระตุ้นให้พวกเขามีส่วนร่วมกับคอนเทนต์ของคุณมากขึ้น โปรดจำไว้ว่า เว็บไซต์ที่ได้รับการปรับแต่งมาอย่างดีจะมียอดการเข้าชมเพิ่มขึ้น ซึ่งหมายถึงโอกาสในการขายที่เพิ่มขึ้นตามมา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ของคุณมีความสำคัญอย่างมาก
ซึ่งคุณสามารถทำให้เว็บไซต์ดีขึ้นได้ผ่านการปรับปรุงตัวแปรต่างๆ เช่น ความปลอดภัยของเว็บไซต์ ความสามารถในการเข้าถึงได้ง่าย ตลอดจนความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ และการใช้งานที่เหมาะสมเมื่อทำผ่านโทรศัพท์มือถือ
6. “Page speed จะช่วยให้เว็บไซต์ดีขึ้นหรือทำให้พังกันแน่?”
ความเข้าใจผิดหนึ่งข้อที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับ page speed ก็คือการที่มันเป็นตัวแปรที่ส่งผลต่อการจัดอันดับมากกว่าที่คุณคิด ถึงแม้ว่าจะสามารถสร้างผลกระทบอย่างมากแต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่างอยู่ดี page speed อาจเป็นวิธีที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ดีขึ้น เนื่องจากผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คุณจะต้องทำให้ทั้งความเร็วเว็บไซต์และคุณภาพของคอนเทนต์ออกมาดีในระดับเดียวกัน
แน่นอนว่า page speed ของเว็บไซต์ยังคงเป็นปัจจัยในการจัดอันดับที่สำคัญ เนื่องจากช่วยลดความยุ่งยากให้กับผู้ใช้เมื่อพวกเขาเข้ามาอยู่ในเว็บไซต์ของคุณ อย่างไรก็ตาม Google ยังต้องการให้ผู้ใช้เห็นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องมากที่สุด และไม่จำเป็นต้องทำให้ผู้ใช้เว็บเห็นเนื้อหาเร็วที่สุดอยู่ดี
7. “ลิงก์ไม่สำคัญ”
ลิงก์และการสร้างลิงก์เป็นหัวใจสำคัญของวิธีที่ Google ใช้ตัดสินใจว่าจะจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณหรือไม่ซึ่งส่งผลอย่างมากต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณ การมีลิงก์ที่มีคุณภาพอยู่ทั่วทั้งเว็บไซต์ของคุณนั้นเป็นการส่งสัญญาณไปยัง Google ว่าเว็บไซต์ของคุณไม่เพียงแต่จะมีเนื้อหาและข้อมูลคุณภาพสูงเท่านั้น แต่ข้อมูลเหล่านี้ยังควรค่าแก่การอ้างอิงถึงด้วย นี่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณดูน่าเชื่อถือและเป็นมืออาชีพมากขึ้น
นอกจากนี้ การที่เว็บไซต์อื่นๆ ลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์ของคุณนั้นส่งผลดีอย่างมาก โดยคุณอาจเริ่มจากลองสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและไม่ซ้ำกับใคร ซึ่งจะทำให้ผู้คนพากันอ้างอิงถึงเว็บไซต์ของคุณ ต่อมาคือการมีคนที่มีชื่อเสียงในแวดวงเดียวกับคุณกล่าวถึงสินค้าและบริการของคุณ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและทำให้ธุรกิจของคุณมีคนรู้จักมากยิ่งขึ้น
8. “SEO ใช้งานไม่ได้เหรอ ไม่ต้องเป็นกังวลเกินไป”
มาถึงความเชื่อที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด โดยหากคุณทำ SEO ได้อย่างถูกต้อง นี่คือวิธีที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณมีคนพบเห็นผ่านทางออนไลน์เป็นจำนวนมากได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งยังเพิ่มยอด conversion ไปพร้อมกันอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่เราอยากบอกคุณก็คือ การทำ SEO ไม่ใช่ทำแค่ระยะสั้นๆ แล้วจะเห็นผลลัพธ์ที่น่าประทับใจทันที แต่นี่คือเกมที่คุณต้องใช้เวลาปรับตัวและทำอย่างต่อเนื่องเหมือนกับการวิ่งมาราธอนมากกว่า
การทำ SEO เป็นวิธีการสร้างการเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด แต่เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ซึ่งคุณคงไม่อยากให้อะไรมาทำให้ยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณลดลงแน่ๆ ดังนั้นแม้ว่า SEO จะเป็นอะไรที่เห็นผลลัพธ์ได้ช้ากว่าแต่ก็ควรตรวจสอบและปรับปรุงอยู่เสมอ เพราะมันมีผลกระทบต่อความสำเร็จของธุรกิจคุณในระยะยาวเป็นอย่างมาก
อาจกล่าวได้ว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาวที่ได้จาก SEO มีความคุ้มค่าสูงมาก นี่จึงเป็นหนึ่งในวิธีที่คุณจะใช้ทำการตลาดด้วยงบประมาณที่จ่ายไปแล้วคุ้มกับสิ่งที่ได้รับกลับมา โดยหากคุณลงเงินจำนวนมากเพื่อทำการโฆษณาสินค้าและบริการของคุณให้เป็นที่รู้จัก แต่การทำ SEO จะช่วยให้คุณมีรายได้เพิ่มโดยที่ไม่ต้องลงทุนต่อเนื่องทุกๆ เดือนแต่อย่างใด
คุณอาจสงสัยว่าทำไมการทำ SEO จึงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเห็นผล เพราะการเข้าชมเว็บไซต์ทำได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า แต่ในปัจจุบันมีการแข่งขันกันมากขึ้นและทุกเว็บไซต์ก็ได้พัฒนา SEO ของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้คุณไม่ใช่แค่ต้องพิจารณาว่าคีย์เวิร์ดใดบ้างที่ควรจะเลือกเป็นคีย์เวิร์ดหลัก แต่คุณต้องดำเนินการตรวจสอบเว็บไซต์อย่างละเอียดถี่ถ้วน พร้อมกับสร้างคอนเทนต์ที่ผู้อ่านพึงพอใจ เพื่อจะได้มี backlink ที่มีคุณภาพ หากคุณต้องการทำความเข้าใจเกี่ยวกับ SEO อย่างแท้จริง ลองอ่านบทความนี้เพิ่มเติมได้
9. “ทำ SEO ครั้งเดียวจบไม่ต้องทำอะไรต่อ”
ความเข้าใจผิดที่สุดเกี่ยวกับ SEO ก็คือ การทำเพียงครั้งเดียวแล้วไม่ต้องกลับมาทำอะไรกับ SEO อีกเลย ซึ่งคนมักคิดไปว่าแค่ปรับปรุงสิ่งต่างๆ ในเว็บไซต์เพียงครั้งแรก จากนั้นคะแนน SEO ของเว็บไซต์คุณก็จะดีต่อเนื่องไปตลอด นี่คือความเข้าใจผิดที่สร้างผลเสียต่อธุรกิจของคุณเป็นอย่างมาก นั่นก็เพราะว่าเว็บไซต์ของคุณไม่ได้ถูกอัปเดตเลยหลังจากที่ได้ทำ SEO ไปเมื่อนานมาแล้ว
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ว่า SEO ไม่ใช่วิธีที่ทำทีเดียวแล้วจบ แต่ต้องอาศัยการทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีตามที่คุณต้องการ โดยรูปแบบการทำ SEO ที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนที่สุด ก็คือการปรับแต่งสิ่งต่างๆ บนเว็บไซต์ให้เป็นไปตามอัลกอริทึมของ Google ซึ่ง search engine จะมีการอัปเดตอัลกอริทึมของพวกเขาเป็นจำนวนหลายครั้งในแต่ละปี และเมื่อรวมกับการที่มีเว็บไซต์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมาทุกวัน นั่นหมายความว่าคุณจะต้องตั้งสติแล้วคอยสอดส่องดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นและเตรียมพร้อมพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อที่คุณจะได้ครองตำแหน่งผู้นำไปอีกยาวนาน
อย่างไรก็ตาม คุณอาจจะเห็นผลลัพธ์เบื้องต้นตั้งแต่ที่ได้ทำ SEO กับเว็บไซต์ของคุณในช่วงแรกๆ แต่ในระยะยาวคุณก็จะได้ผู้ชมเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงอย่างนั้นคุณก็จะต้องปรับแต่งเว็บไซต์ให้เป็นไปตามอัลกอริทึมที่ Google อัปเดตอยู่เสมอ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ได้ประโยชน์จากการทำ SEO สูงสุด
10. “คุณสามารถทำ SEO ได้ด้วยตัวเอง”
แม้จะมีข่าวลือว่าคุณไม่สามารถทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเอง เว้นแต่คุณจะมีเวลาและทรัพยากรอย่างไม่จำกัด นั่นก็เพราะว่าการทำ SEO เป็นงานแบบเต็มเวลา ซึ่งหากคุณพยายามจะจัดการ SEO กับเรื่องอื่นๆ ที่ต้องดูแลไปพร้อมกันด้วยแล้ว เว็บไซต์ของคุณก็อาจเกิดข้อผิดพลาดที่คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และนั่นทำให้คุณจะต้องพยายามฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปให้ได้
นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณถึงควรที่จะจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ไว้ในทีม หรือมองหาเอเจนซี SEO ที่จะช่วยให้คุณสามารถโฟกัสกับการพัฒนาธุรกิจได้อย่างเต็มที่
เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวบริการ SEO ของเรา
ที่มอร์โฟซิส ดิจิทัลเอเจนซี เราให้ความสำคัญกับบุคลากรเป็นอันดับหนึ่งในทุกๆ กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ดิจิทัล โดยเราสามารถพัฒนาแผนกลยุทธ์สำหรับผลิตภัณฑ์ดิจิทัลเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มาจากหลากหลายอุตสาหกรรมได้
ด้วยประสบการณ์มากกว่า 15 ปี เราได้พัฒนาบริการให้คำปรึกษาด้านดิจิทัลที่มีความสมบูรณ์แบบ โดยเรามุ่งมั่นที่จะช่วยคุณในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดิจิทัลใหม่ ให้คุณมีลูกค้าเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งกว่าเดิมให้กับผู้ใช้ของคุณ ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ของเราเพื่อปรึกษาเรื่องวิธีการเพิ่มยอดเข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้ฟรีวันนี้