วิธีทำ On-Page SEO แบบครบวงจรสำหรับผู้เริ่มต้น
เผยแพร่เมื่อ 27 Jan 2023 โพสไปที่คุณกำลังมองหาวิธีที่ง่ายที่สุดในการทำ on-page SEO หรือวิธีที่ช่วยเพิ่ม organic traffic ให้กับเว็บไซต์อยู่ใช่ไหม เราช่วยคุณได้
ถ้าคุณกำลังประสบปัญหาในการดึงดูดผู้ใช้และลีดให้เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณอยู่ละก็ บทความนี้สามารถช่วยคุณได้ เพราะเรารู้ดีว่าการทำ on-page SEO อาจเป็นเรื่องที่ยากลำบากโดยเฉพาะเมื่อคุณไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร
นี่คือสาเหตุว่าทำไมผู้เชี่ยวชาญของเราที่มอร์โฟซิสถึงสามารถช่วยแบ่งกระบวนการทำ on-page SEO ออกเป็นขั้นตอนที่คุณทำตามได้ง่ายๆ
ในฐานะที่เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำ SEO ในกรุงเทพฯ เราจึงเน้นการทำให้คุณเข้าใจถึงวิธีการทำ SEO ทุกรูปแบบให้มากขึ้น ในบทความนี้ เราจะบอกคุณว่า on-page SEO คืออะไรและมีความสำคัญอย่างไร รวมถึงเทคนิคที่จะช่วยทำให้มี organic traffic หลั่งไหลมายังเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น
On-page SEO คืออะไร
On-page SEO คือ วิธีการปรับหน้าเว็บแต่ละหน้าบนเว็บไซต์ของคุณให้ติดอันดับสูงขึ้น มีคนเห็นมากขึ้น และเพิ่ม traffic จาก search engine การที่จะทำแบบนี้ได้นั้นคุณจำเป็นต้องปรับปรุงคอนเทนต์ในหน้าหลัก รวมถึงใส่ HTML tag สำหรับ SEO โดยเฉพาะอีกด้วย
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะต้องใช้เวลานานพอสมควรเพื่อให้แน่ใจว่าความพยายามทำการตลาดของคุณจะช่วยเพิ่ม organic traffic และ conversion ให้กับธุรกิจออนไลน์ของคุณได้
ถ้าคุณกำลังรู้สึกสงสัยว่าจริงๆ แล้ว SEO คืออะไรกันแน่ เรามีบทความอธิบายเกี่ยวกับ SEO อย่างละเอียดให้คุณอ่าน
แผนผังแนวคิดการทำ on-page SEO พร้อมข้อความและคีย์เวิร์ดที่ใช้
ทำไมคุณถึงต้องทำ on-page SEO
On-page SEO มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ search engine อย่าง Google เข้าใจเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยให้หน้าเว็บไซต์ต่างๆ ของคุณติดอันดับสูงขึ้นและอยู่ในหน้าแรกของ Google ได้เมื่อผู้ใช้ค้นหาด้วย target keyword ที่คุณใช้งานเป็นหลัก
ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายของการทำ on-page SEO คือการปรับปรุงคอนเทนต์ตามกลยุทธ์ที่วางแผนไว้เพื่อให้ search engine เข้าใจหน้าเว็บของคุณได้ง่ายขึ้นและแรงก์ให้หน้าเว็บเหล่านั้นสูงขึ้นในหน้าผลการค้นหา ทำให้เกิด traffic มากขึ้นและมีคนมองเห็นธุรกิจของคุณเพิ่มขึ้นในที่สุด
การทำ on-Page SEO ยังช่วยสร้างประสบการณ์ผู้ใช้งานเว็บไซต์ที่ดีขึ้นเนื่องจากมันทำให้ผู้ใช้ค้นหาสิ่งต่างๆ บนเว็บไซต์ของคุณเพิ่มเติม ซึ่งเป็นการมอบคุณค่าอันน่าประทับใจให้กับผู้ใช้ได้อย่างดีเยี่ยม
7 เทคนิคการทำ on-page SEO สำหรับปี 2022 ที่ทำตามได้ง่าย
แนวคิดหลักๆ ในการทำ on-page SEO คือการสร้างหน้าเว็บที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้ด้วยการมอบสิ่งที่พวกเขาต้องการควบคู่ไปกับประสบการณ์การใช้งานที่น่าจดจำ
เคล็ดลับทั้ง 7 ข้อต่อไปนี้จะช่วยให้คุณไปถึงเป้าหมายดังกล่าวได้
1. หาว่า target keyword ของคุณควรจะเป็นคำไหน
คุณต้องทำการวิจัยเพื่อหาว่า target keyword ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณคือคำไหน การค้นหาคำเหล่านี้ต้องพิจารณาจากความต้องการของผู้ใช้แล้วจึงนำไปปรับใช้กับแนวทางการทำ SEO ต่อไป
ขั้นแรก หาให้เจอว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณคือใครและพวกเขาค้นหาอะไรใน Google หรือ search engine อื่นๆ บ้าง ซึ่งมีเครื่องมือดีๆ และกระบวนการมากมายในการทำ keyword research
ต่อมาคุณก็ควรเริ่มระดมสมองเพื่อหา ‘seed’ keyword ที่สามารถนำไปใช้หาว่าคำที่ผู้ใช้นำมาค้นหาจริงๆ คือคำไหนด้วยการใช้ เครื่องมือทำ keyword research อันที่คุณชอบ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้า seed keyword ของคุณคือ “รองเท้า” คุณก็สามารถใช้คำนั้นในการหา long-tail keyword อย่าง รองเท้าผู้ชาย รองเท้าสีดำ รองเท้าวิ่ง และอื่นๆ ได้
ท้ายที่สุดแล้ว คุณจำเป็นต้องเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมอย่างรอบคอบเพื่อนำมาปรับปรุงคอนเทนต์ต่อไป
คีย์เวิร์ดที่ดีที่สุดคือวลีหรือคำที่
เกี่ยวข้องกับหัวข้อหลักหรือธีมของเนื้อหา
มีปริมาณการค้นหาที่เหมาะสม
การแข่งขันไม่สูงจนเกินไป
2. ปรับปรุง title tag และ meta description
Title tag และ meta description นั้นมีความสำคัญตรงที่เป็นสิ่งแรกๆ ที่ผู้ใช้จะได้เห็นเมื่อพวกเขาค้นหาบน Google การปรับ title tag ให้ดีขึ้นนั้น คุณควรใส่ title ที่มีเอกลักษณ์ อธิบายได้เห็นภาพ และกระชับ ลงไปในแต่ละหน้าเว็บเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้อยากคลิกมากขึ้น
กฎพื้นฐานก็คือในการเขียน title tag ก็คือมีความยาว 30-60 ตัวอักษร
ส่วน meta description พยายามอย่าให้เกินลิมิต 155 ตัวอักษร ไม่อย่างนั้น description จะโดนตัดส่วนท้ายออก ทำให้กระชับเข้าไว้ ประมาณ 120 ตัวอักษร หรือน้อยกว่านั้น
3. ปรับปรุง URL slug
URL slug เป็นส่วนหนึ่งของ URL ที่ช่วยระบุว่าหน้าเว็บไซต์นั้นของคุณเกี่ยวกับอะไร ในสมัยนี้ URL slug มีผลต่อ SEO อย่างมาก ทำให้การใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดถือว่ามีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์ on-page SEO ของคุณเป็นอย่างมาก
การปรับ URL slug นั้นควรทำให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยมีความยาวไม่เกิน 4 คำ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้และ search engine เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าหน้าเว็บนั้นเกี่ยวกับอะไร แถมยังเพิ่ม organic CTR ได้อีกด้วย นอกจากนั้นก็ควรใช้ target keyword กับ URL slug เพราะจะช่วยให้หน้าเว็บนั้นติดอันดับสูงขึ้นได้
ถ้าหากหน้าเว็บของคุณได้รับการเผยแพร่มาสักพักแล้วก็ไม่ควรเปลี่ยน URL slug หากไม่จำเป็นจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อมันติดอันดับในหน้า SERP แล้ว
แนวทางที่ดีที่สุดในการทำ SEO สำหรับ URL slug ได้แก่
ใช้ ‘-’ คั่นระหว่างคำ
ไม่ใส่วันที่
ไม่จำเป็นต้องเต็มประโยค
ควรหลีกเลี่ยงอักษรพิเศษ
4. ใส่ heading tag อย่างเหมาะสม
การเน้นส่วนประกอบอย่าง heading, subheading, และประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง คุณต้องใส่ heading tag
H1 tag จะบอกให้ผู้ใช้และ search engine รู้ว่าหน้าเว็บนั้นเกี่ยวกับอะไร และ H2 จะบอกว่าในบทความนั้นมีหัวข้อหลักๆ อะไรบ้าง ท้ายที่สุดแล้วยังมี heading ย่อยๆ อย่าง H3 ถึง H6 เพื่อเอาไว้ใส่ในแต่ละหัวข้ออีกที
Heading แต่ละอันมีจุดประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้ search engine สามารถ crawl หน้าเว็บเพื่อเก็บข้อมูลที่มีค่าได้ดีขึ้น
เมื่อต้องเขียนคอนเทนต์หนึ่งหน้าให้ใส่ H1 เดียวก็พอและห้ามใส่ H1 มากกว่าหนึ่งครั้ง และควรใส่ target keyword ลงไปใน heading tag ด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ Google ให้ความสำคัญ รวมถึงหลีกเลี่ยงการใส่คีย์เวิร์ดเยอะเกินไปจนเกิด keyword stuffing เพราะคุณอาจถูกลงโทษจาก Google ได้
กฎพื้นฐานในการใส่คีย์เวิร์ดก็คือ ใส่ให้ดูเป็นธรรมชาติและให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้ ซึ่งจะดีต่อการทำ SEO
5. รูปภาพพร้อม alt text
‘Alt text’ คือคำย่อของคำว่า ‘alternative text’ ซึ่งเป็นคำบรรยายสั้นๆ ของรูปภาพที่ช่วยให้ search engine รู้ว่ารูปภาพนั้นคือภาพอะไร และยังช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงขึ้นบน Google image search และเพิ่ม traffic ได้อีกด้วย
การปรับปรุงรูปภาพด้วยวิธีนี้ช่วยเพิ่ม traffic จากการค้นหาด้วยรูปภาพได้ดี เนื่องจาก search engine ยังไม่รู้ว่าเนื้อหาในรูปนั้นเกี่ยวกับอะไรบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ alt text ช่วยได้
บรรยายให้เห็นภาพ แต่สั้น กระชับ
อธิบายแบบเฉพาะเจาะจง
ใส่คีย์เวิร์ดได้พอประมาณ
อย่าใส่คำว่า “รูปของ”
6. ใส่ internal และ external link
Internal และ external link ช่วยให้ Google สามารถ crawl เว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยบอกให้ Google รู้ว่าหน้าเว็บไหนของเว็บไซต์ที่มีความสำคัญกว่าหน้าอื่นๆ
การลิงก์ระหว่างหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์ก็เป็นวิธีที่ดีที่จะกระตุ้นให้ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์ของคุณนานขึ้น และยังช่วยเพิ่มโอกาสที่พวกเขาจะกลายมาเป็นลูกค้าได้ในอนาคต
เมื่อใช้ internal link อย่าลืมเช็กว่า anchor text นั้นปรับให้เหมาะสมกับ target keyword ของหน้าที่จะลิงก์ไปด้วย และพยายามใช้ target keyword ที่หลากหลายกับ anchor text ทุกครั้งเพื่อหลีกเลี่ยงการโดนลงโทษจาก Google
7. ใส่ schema markup
Schema markup ช่วยให้คุณมีโอกาสได้รับฟีเจอร์ดีๆ เมื่อติดอันดับในหน้า SERP เช่น rich snippet, knowledge graph, และ featured snippet เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
คุณสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างข้อมูลเหล่านี้ได้จากบทความของ Google
เช็กลิสต์สำหรับทำ on-page SEO
นี่คือเช็กลิสต์แบบรวบรัดสำหรับการทำ on-page SEO ที่คุณสามารถนำไปใช้กับเว็บไซต์ของคุณได้
ทำ keyword research แบบลงลึกและใช้เฉพาะคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องจริงๆ เท่านั้น
สร้าง title tag และ meta description พร้อม target keyword และคำบรรยายที่ไม่ซ้ำใครเพื่อดึงดูดผู้ชม
ตรวจสอบให้แน่ใจว่า URL ของคุณสั้นและอธิบายได้เข้าใจง่าย พร้อมคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
ใช้ H1 tag แค่ครั้งเดียวต่อหนึ่งหน้าและใช้โครงสร้าง heading tag ที่เหมาะสม (H1 > H2 > H3)
ใส่ alt text ลงไปในรูปภาพ
ใส่ internal และ external link ลงไปในคอนเทนต์
ใส่โครงสร้างข้อมูลอย่าง schema markup ลงไปในโพสต์ของคุณ
เครื่องมือสำหรับทำ on-page SEO
ก่อนที่คุณจะเริ่มทำ on-page SEO ให้ลองดูเครื่องมือเหล่านี้เพื่อนำไปใช้งานในเรื่องต่างๆ ที่ว่ามา
Yoast SEO – ใส่ title, meta description, และโครงสร้างข้อมูลในโพสต์บทความและหน้าเว็บได้
Semrush – ค้นหาข้อมูลคู่แข่งและปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับสูงขึ้น
Ahrefs Webmaster Tools – ค้นหาว่าหน้าไหนของเว็บไซต์คุณที่ยังขาด title tag, meta description, และ alt text อยู่บ้าง
MetaTags.io – พรีวิวว่า URL, title tag, และ meta description จะดูเป็นอย่างไรในหน้าผลการค้นหา
Merkle’s Schema Markup Generator – สร้างโครงสร้างข้อมูลในรูปแบบต่างๆ
Rich Results Test – เช็กโครงสร้างข้อมูลของหน้าเว็บไซต์ว่าพร้อมสำหรับการแสดงผลแบบ rich snippet ในหน้า SERP หรือไม่
ปรับหน้าเว็บไซต์ของคุณด้วย on-page SEO ตั้งแต่วันนี้
อ่านมาถึงตรงนี้คุณคงเข้าใจแล้วว่าเทคนิคการทำ on-page SEO นั้นเป็นอย่างไร และมีความพร้อมสำหรับการปรับปรุงกลยุทธ์ SEO เพื่อเอาชนะคู่แข่งได้
สิ่งสำคัญคือคุณต้องใช้เวลาทำความเข้าใจว่ากลยุทธ์ไหนน่าจะทำงานสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ จากนั้นจึงทำให้มันใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการทำ SEO ทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราที่มอร์โฟซิสพร้อมให้คำปรึกษา ติดต่อเราเพื่อพูดคุยกันว่าเราจะช่วยให้คุณทำแคมเปญ SEO อย่างไรได้แล้ววันนี้