5 หลุมพรางที่ต้องระวังในการทำ Digital Transformation ในปี 2022
สรุปประเด็นหลัก
ควรให้ความสำคัญกับโซลูชันทางธุรกิจและนำโซลูชันด้านดิจิทัลไปใช้กับกลยุทธ์ทางธุรกิจด้วย
คนที่ทำงานด้วยแนวทางการทำงานแบบ silo อาจจะไม่สามารถสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ ในแนวความคิดเชิงดิจิทัลได้ เพราะขาดความเชื่อมั่นและการทำงานเป็นทีมในระหว่างทีมงานด้วยกัน
หากเป้าหมายในการทำ transformation ที่วางไว้ผิดพลาดอาจทำให้ธุรกิจไม่สามารถตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้บริโภคในยุคนี้ได้
การเมินเฉยต่อระบบนิเวศดิจิทัลจะทำให้ธุรกิจไม่สามารถดำเนินงานในแนวทางดิจิทัลใหม่ๆ ได้
Digital transformation เป็นกระบวนการที่บริษัทต้องทำอยู่ตลอดเวลาเพื่อปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
บริษัทขนาดใหญ่กว่า 60% กำลังทำการเปลี่ยนแปลงแบบที่เรียกว่า digital transformation ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำหากต้องการให้ธุรกิจอยู่รอด เราอยู่ในโลกดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยที่ผู้บริโภคต้องการมองหาสินค้าหรือบริการออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีขั้นสูงจึงได้กลายเป็นสิ่งที่สร้างผลกระทบต่อการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การทำให้ธุรกิจที่แสวงหารายได้จากการทำเว็บไซต์เป็นหลักสามารถประสบความสำเร็จได้นั้น บริษัทเหล่านั้นจะต้องตั้งเป้าหมายที่จะครองแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งหลายเอาไว้ให้ได้ ด้วยการย้ายจากระบบแมนวลมาเป็นดิจิทัล เพื่อตามเทรนด์ของตลาดในปัจจุบันให้ทันและรับเอาข้อดีของมันมา
digital transformation ก็เป็นเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ในหลักการทำธุรกิจตรงที่มีหลุมพรางและอุปสรรคอยู่มากมายจนทำให้กว่า 70% ของการทำ transformation ล้มเหลว
และเพื่อให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาอันยุ่งยากที่คาดไม่ถึงซึ่งอาจเกิดขึ้นกับธุรกิจของคุณ ทีมงานของเราที่มอร์โฟซิสจะบอกให้คุณรู้ว่า 5 หลุมพรางสำคัญที่ต้องระวังในการทำ digital transformation ในปี 2022 มีอะไรบ้าง
หลุมพรางที่ 1: กลยุทธ์ทางดิจิทัลและกลยุทธ์ทางธุรกิจไม่สัมพันธ์กัน
การเมินเฉยต่อกลยุทธ์ทางธุรกิจและโฟกัสไปที่กลยุทธ์ดิจิทัลอย่างเดียวอาจทำให้สองกลยุทธ์นี้ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้นธุรกิจจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาธุรกิจ แม้ว่าจะต้องหยุดพักแผนงานดิจิทัลไว้ชั่วคราวก็ตาม
กลยุทธ์สองประเภทที่ต้องใช้
กลยุทธ์ดิจิทัล: เน้นวิธีการหลากหลายที่สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพและสามารถเปลี่ยนแปลงแนวทางโดยรวมของธุรกิจได้
กลยุทธ์ธุรกิจ: ประกอบด้วยการตัดสินใจทางธุรกิจที่นำไปสู่เป้าหมายและความคิดริเริ่มต่างๆ
ธุรกิจจึงควรนำกลยุทธ์ดังกล่าวไปใช้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ในสถานการณ์จริง ในระหว่างที่ทำ digital transformation
บางครั้งกลยุทธ์ดิจิทัลอาจขัดแย้งกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ ดังนั้นบริษัทจึงต้องนำกลยุทธ์ดิจิทัลมาวางแผนใช้กับธุรกิจและทำให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบริษัทด้วย
อุปสรรคในการนำโซลูชันทางเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้กับกลยุทธ์ธุรกิจ
กลยุทธ์และเทคโนโลยีดิจิทัลกระตุ้นให้บริษัทลงทุนไปกับเรื่องเหล่านี้มากกว่าเป้าหมายและวัตถุประสงค์ขององค์กร จึงอาจทำให้เกิดปัญหาการนำไปใช้ร่วมกัน และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้
การรีบนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ไม่ใช่แค่ทำให้องค์กรมองข้ามกลยุทธ์ทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังทำให้กระบวนการทำงานที่มีอยู่ขาดประสิทธิภาพได้
ไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับต้นทุนของกลยุทธ์ที่มีได้
ทางแก้ก็คือ บริษัทจำเป็นต้องหาข้อสรุปร่วมกันว่าจะนำกลยุทธ์ทั้งสองชนิดนี้มาวางแผนเพื่อใช้งานร่วมกันอย่างไร อีกนัยหนึ่งก็คือ กลยุทธ์ดิจิทัลควรสนับสนุนจุดประสงค์ของธุรกิจเพื่อสร้างแผนงานที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแทนที่จะลดทอนประสิทธิภาพการทำงาน
เรื่องหลักที่ต้องโฟกัสก็คือการปรับให้กลยุทธ์ดิจิทัลสามารถเป็นสิ่งที่ช่วยปรับปรุงให้ผลลัพธ์ทางธุรกิจออกมาอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ร้านขายยา Walgreens ได้นำแนวคิดเน้นการทำงานบนมือถือเป็นอันดับแรก โดยสามารถเพิ่ม traffic และ customer loyalty ได้เป็นอย่างดี ความสำเร็จของพวกเขาเกิดขึ้นจากการใช้แนวทางดิจิทัลมาช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ
Walgreens รวมเอาสองกลยุทธ์ดังกล่าวเข้าไว้ด้วยกัน และแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ทางดิจิทัลแม้ว่าบริษัทนี้จะมีอายุมากถึง 118 ปีแล้วก็ตาม
หลุมพรางที่ 2: การทำ digital transformation แบบ silo
การใช้แนวทางการทำงานแบบ silo ในกระบวนการทำ digital transformation จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
แนวทางการทำงานแบบ silo หมายถึงสถานการณ์ที่พนักงานรู้สึกไม่เต็มใจที่จะแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับการแยกแผนกของตนเองในบริษัทเดียวกัน ในทางปฏิบัติแล้ว หมายความว่าข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงภายในบริษัทจะไม่ได้รับการแชร์ให้คนในแผนกอื่นๆ นั่นเอง
การให้ความร่วมมือกันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง แนวทางการทำงานแบบ silo มักจะมาขัดขวางความคืบหน้าในกลยุทธ์ดิจิทัล และอาจนำไปสู่การขาดความร่วมมือของคนในองค์กรได้
การที่องค์กรส่วนใหญ่มีลำดับขั้นในการสั่งงาน แผนกต่างๆ จึงมักโฟกัสเฉพาะหน้าที่ของตัวเอง จึงกลายเป็นอุปสรรคที่คอยขัดขวางความสำเร็จทางดิจิทัลเพราะขาดวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกัน
เมื่อเวลาผ่านไปจึงกลายเป็นว่าขาดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และมีปัญหาการสื่อสารอย่างรุนแรง ในอดีตบริษัทอย่าง GE, Ford และ P&G เคยประสบปัญหาขาดประสิทธิภาพในการสื่อสารเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ขององค์กร และทำให้พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการทำ digital transformation เท่าที่ควร
ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงควรที่จะสื่อสารถึงเป้าหมายของการทำ digital transformation ให้ละเอียดถี่ถ้วน ควรมีการสื่อสารเกี่ยวกับวัตถุประสงค์โดยรวมของบริษัทต่อพนักงานทุกคนในทุกแผนกอย่างชัดเจน
ผลลัพธ์ของการทำงานแบบ silo ในระหว่างการทำ digital transformation
วัฒนธรรมการทำงานที่ขาดความเชื่อใจและให้ความร่วมมือกันในระหว่างแผนกจะนำไปสู่การสื่อสารที่ผิดพลาด การเข้าใจผิด และความไม่พอใจ ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในด้านดิจิทัลได้
1. ความขัดแย้ง/การแข่งขันกันภายในองค์กร
เมื่อพนักงานโฟกัสแต่เป้าหมายของแผนกตัวเอง อาจทำให้เกิดการแข่งขันขึ้นระหว่างแผนกภายในองค์กร จนกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างพนักงาน และส่งผลเสียร้ายแรงต่อประสิทธิภาพในการทำงานได้
การแข่งขันเกิดขึ้นจากการที่แผนกต่างๆ ต้องการทำงานเพื่อบรรลุจุดประสงค์ทางธุรกิจเดียวกันแต่ต่างฝ่ายต่างอยู่กันคนละขั้นตอนของกระบวนการ ทำให้ไม่มีการแชร์ข้อมูลบางอย่างในที่ทำงานและแผนกที่ต่างกัน
ด้วยเหตุนี้ พนักงานจึงมีทัศนคติที่เริ่มเห็นต่างกันขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลเสียต่อวิสัยทัศน์ของธุรกิจที่ควรมีร่วมกันได้ การหลีกเลี่ยงปัญหานี้ การสื่อสารและให้ความร่วมมือคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
2. ไม่สามารถนำไอเดียหรือความคิดริเริ่มใหม่ๆ ไปต่อยอดได้
การที่ไม่สามารถนำไอเดียหรือความคิดริเริ่มใหม่ๆ ไปต่อยอดได้เกิดจากการขาดข้อมูล การทำงานแยกส่วนกันจะทำให้ขาดความเห็นพ้องต้องกันและไม่เข้าใจกัน ทำให้บริษัทไม่สามารถหาแนวทางที่เหมาะสมมาใช้กับเรื่องที่ต้องจัดการได้
ความคืบหน้าก็จะช้าลง โดยที่ไม่มีการส่งต่อไอเดียกัน และหากคนในองค์กรไม่ร่วมมือกัน จะเกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน
แนวการทำงานแบบ silo นั้นไม่เข้ากับความคล่องตัวในแบบที่องค์กรต้องการ ไอเดียดีๆ ก็จะไม่มีใครนำมาใช้สักทีเพราะมัวแต่ค่อยๆ ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงระหว่างที่ทำ digital transformation
3. วิสัยทัศน์ขององค์กรที่แตกแยก
การทำงานแบบ silo ทำให้ทีมงานทำงานแยกส่วนกันและขาดความเชื่อมโยงของข้อมูล การขาดความไว้ใจกันระหว่างพนักงานจะทำให้พนักงานแต่ละคนเข้าใจวิสัยทัศน์ของบริษัทแตกต่างกันไป
เมื่อวิสัยทัศน์ขัดแย้งกัน พนักงานก็จะไม่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากขาดความมุ่งมั่นและไว้วางใจซึ่งกันและกัน
ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับเป้าหมายระยะยาวของบริษัทเป็นอันดับแรก เพราะจะช่วยกระตุ้นให้ทุกคนทำงานด้วยเป้าหมายเดียวกันได้
พนักงานจะเข้าใจจุดมุ่งหมายในการทำงานอย่างชัดเจน และทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเป็นทีมเดียวกัน
หลุมพรางที่ 3: เป้าหมายในการทำ digital transformation ที่วางไว้อย่างผิดพลาด
เป้าหมายในการทำ digital transformation ที่วางไว้อย่างผิดพลาดเกิดจากบริษัทขาดชุดของกลยุทธ์และวัตถุประสงค์ที่สมเหตุสมผล ซึ่งอาจนำไปสู่ disruption เพราะบริษัทไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันได้
การวางเป้าหมายที่ผิดพลาดอาจนำไปสู่ผลกระทบที่ยุ่งยากซับซ้อนที่อาจทำให้บริษัทไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ เทคโนโลยีไม่ควรสำคัญกว่าธุรกิจ และบริษัทก็ไม่ควรโฟกัสแค่เรื่องของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว
ในปี 2005 Yahoo เคยทำผิดพลาดด้วยการโฟกัสไปที่เรื่องเดียวคือการครองธุรกิจสื่อให้ได้ แต่ในท้ายที่สุด พวกเขาไม่สามารถหารายได้ที่มากพอ นี่จึงเป็นการตอกย้ำว่าการตั้งเป้าหมายที่เหมาะสมมีความสำคัญต่อธุรกิจมากขนาดแค่ไหน
สาเหตุที่แท้จริงของการวางเป้าหมายในการทำ digital transformation ที่ผิดพลาด
นี่คือ 3 สาเหตุที่พบได้ทั่วไปมากที่สุดที่เกิดจากการวางเป้าหมายในการทำ digital transformation ที่ผิดพลาด
1. บริษัทอยากทำอะไรหลายอย่างมากเกินไป และรีบร้อนเกินไป
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าควรจัดการกับโปรเจกต์มากมายอย่างไร ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง และไม่สามารถนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ได้
การที่ธุรกิจมีหลักการที่ชัดเจนและมีการอัปเกรดที่ถูกต้องในช่วงเวลาที่เหมาะสมมีความสำคัญต่อการประสบความสำเร็จมาก หากทำอะไรหลายอย่างเกินไป และรีบร้อนเกินไป จะเกิดปัญหาที่ซับซ้อนและสิ้นเปลืองงบประมาณ และส่งผลเสียต่อชื่อเสียงและกระแสเงินหมุนเวียน
การนำองค์ประกอบต่างๆ มาใช้กับธุรกิจมีความสำคัญมาก แต่ต้องทำในเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดและเอาชนะตลาดในยุคปัจจุบันได้
2. องค์กรไม่เห็นภาพรวมของการเปลี่ยนแปลง
การมองเห็นภาพรวมของแผนงานคือสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการทำ digital transformation หากว่าไม่ใส่ใจกับเป้าหมายในระยะยาวแล้ว บริษัทอาจไม่สามารถนำเสนอประสบการณ์ทางดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพได้ เนื่องจากเกิดความไม่มั่นใจขึ้น
สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน การขาดความรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบต่างๆ ของธุรกิจที่ทำให้พนักงานไม่เข้าใจภาพรวมอาจส่งผลเสียร้ายแรงได้ ผลการวิจัยพบว่าพนักงานกว่า 30% รู้สึกว่าฝ่ายบริหารธุรกิจไม่เข้าใจ IT ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บริษัทขาดประสิทธิภาพในการทำงานและโอกาสทางธุรกิจ
องค์กรที่มองไม่เห็นภาพรวมอาจนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม ทำให้พวกเขาเสียเวลา ไม่สามารถทำได้ตามที่คาดหวัง และล้มเหลวในการสร้างคุณค่าให้กับองค์กร
3. นำเทคโนโลยีมาใช้โดยไม่มีเหตุสมควร
การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้กับกระบวนการทำงานโดยไม่ได้วิเคราะห์ให้ดีก่อนว่าประโยชน์ในระยะยาวคืออะไรอาจนำไปสู่การลงทุนที่ไม่คุ้มค่า และประสิทธิภาพในการทำงานลดลงได้
เทคโนโลยีไม่ได้ช่วยให้บริษัทเติบโตเสมอไป
การนำเทคนิคใหม่ๆ มาใช้แค่เพราะต้องการตามเทรนด์โดยไม่คำนึงถึงว่าผู้บริโภคต้องการอะไรกันแน่จะทำให้บริษัทให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากกว่าลูกค้าเป้าหมาย
4. ไม่เข้าใจว่าลูกค้าเป้าหมายต้องมาก่อน
เมื่อบริษัททำ digital transformation บางรายอาจเมินเฉยต่อประสบการณ์ของลูกค้า และไม่รู้ว่าที่จริงแล้วลูกค้าต้องการอะไรกันแน่
การโฟกัสกับประสบการณ์ของลูกค้าในช่วงที่ทำการเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้ลูกค้ามีความพึงพอใจมากขึ้นถึง 20-30% เลยทีเดียว ดังนั้น ลูกค้าเป้าหมายจึงเป็นสิ่งแรกที่ต้องให้ความสำคัญเสมอ
หากคุณให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากกว่า คุณก็จะไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ลูกค้าเรียกร้อง ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจของคุณมอบประสบการณ์ที่แย่ๆ ให้กับพวกเขาได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องนำผลตอบรับที่ได้มาปรับใช้กับโปรเจกต์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณกำลังก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้องแล้ว
หลุมพรางที่ 4: เมินเฉยต่อระบบนิเวศดิจิทัล
ระบบนิเวศดิจิทัลนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง การทำงานร่วมกับระบบนิเวศจะทำให้ธุรกิจสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้จนเติบโตในทางดิจิทัลได้
ระบบนิเวศทำให้เกิดกฎระเบียบทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ขึ้นมาในยุคนี้ และกำหนดว่าองค์กรสมัยใหม่ควรมุ่งหน้าไปทางไหน
ที่จริงแล้ว 79% ขององค์กรสมัยใหม่ชั้นนำได้เข้าร่วมในระบบนิเวศดิจิทัลแล้ว
ในระบบนิเวศดิจิทัลยุคนี้ ขอบเขตระหว่างสาขาธุรกิจต่างๆ เริ่มเลือนหายไป จากการที่ธุรกิจทั้งหลายเริ่มเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองจนซ้อนทับกับคู่แข่งในสาขาอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน
ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่า Amazon จะไม่ได้มีตัวตนที่โดดเด่นในธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ต แต่พวกเขาก็ได้ซื้อกิจการเชนร้านขายของชำอย่าง Whole Foods เพื่อขยายระบบนิเวศดิจิทัลของพวกเขาออกไป
ในระบบนิเวศดิจิทัลยุคนี้ คู่แข่งของคุณอาจกลายเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ และธุรกิจที่ไม่เคยเป็นคู่แข่งมาก่อนอาจกลายเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อส่วนแบ่งตลาดของคุณภายในข้ามคืนก็ได้ ตัวอย่างของระบบนิเวศดิจิทัลคือการนิยามบริษัทต่างๆ ที่ยังคงทำงานแบบเดิมๆ เสียใหม่ บีบบังคับให้พวกเขาต้องปรับตัวเพื่อตอบโต้กับเศรษฐกิจและแนวทางดิจิทัลรูปแบบใหม่ๆ
การร่วมมือกันระหว่างคู่แข่งอย่าง Ford และ Toyota ในการผลักดันเทคโนโลยีไฮบริดสู่ตลาดรถกระบะ ส่งผลให้พวกเขาสามารถเปิดตัวรถกระบะขุมพลังไฮบริดในตลาดสหรัฐอเมริกาได้อย่างราบรื่น
ส่วน Nokia องค์กรที่ไม่ได้นำระบบนิเวศดิจิทัลไปปรับใช้ทำให้พวกเขาต้องพบกับความล้มเหลวอย่างรวดเร็ว เพราะไม่สามารถเปลี่ยนโฟกัสขององค์กรตามระบบนิเวศดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้ และทำให้เทคโนโลยีของพวกเขาด้อยกว่าคู่แข่งอย่าง Apple
การเมินเฉยต่อระบบนิเวศดิจิทัลส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อ Nokia และทำให้พวกเขาเสียเปรียบคู่แข่ง นี่คือสิ่งที่ตอกย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงของตลาดมีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งมาจากการนำระบบนิเวศดิจิทัลมาปรับใช้นั่นเอง
ทำไมการเมินเฉยต่อระบบนิเวศดิจิทัลจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
ด้วยเหตุที่แนวทางดิจิทัลคือการกรุยทางสู่เทคโนโลยีขั้นสูงใหม่ๆ แม้ว่าองค์กรทั้งหลายจะมีแนวทางที่เหมาะสมในการเจาะตลาดใหม่ แต่พวกเขาอาจไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพหากไม่รู้ว่าจะต้องใช้เครื่องมือดิจิทัลไหนบ้าง
1. การเลือกเทคโนโลยีดิจิทัลที่ไร้ประสิทธิภาพ/ไม่เหมาะสม
หากรู้ว่าตลาดใหม่ต้องการอะไรก็จะช่วยให้บริษัทสามารถตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดมาใช้ได้
การไม่รู้ความสำคัญของแพลตฟอร์มดิจิทัลจะทำให้องค์กรนำเครื่องมือที่ไม่เหมาะสมมาใช้แก้ปัญหา และจะกลายเป็นปัญหาในระยะยาว เพราะกว่า 30% ของบริษัทในปัจจุบันจะโดนแพลตฟอร์มดิจิทัลเข้ามาแทนที่ภายในเวลา 6 ปี
2. ไม่สามารถปรับเทคโนโลยีให้ทันสมัยเพื่อขยายองค์กรได้
หากไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับระบบและความเชื่อมโยงทางดิจิทัลในยุคนี้มากพอ การจะปรับเทคโนโลยีที่ใช้ให้ทันสมัยขึ้นก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ การสนับสนุนวัฒนธรรมการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ภายในองค์กรและทำให้เปลี่ยนแปลงได้สำเร็จนั้น องค์กรต้องสร้างสะพานเชื่อมโยงแบรนด์ของพวกเขากับผู้บริโภคให้ได้
3. ไม่สามารถเชื่อมโยงกับทุกสิ่งได้อย่างต่อเนื่อง
ธุรกิจจำเป็นต้องทำความเข้าใจระบบนิเวศดิจิทัลที่เชื่อมโยงกันอย่างถ่องแท้ เพื่อให้สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคและพันธมิตรทางธุรกิจได้
การสื่อสารที่เชื่อถือได้คือสิ่งที่จะทำให้องค์กรเติบโตและเชื่อมโยงกับทุกสิ่งบนโลกดิจิทัลได้ดี
ข้อดีของระบบนิเวศดิจิทัล
มีการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างรวดเร็ว
สามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่มีรูปแบบอันหลากหลายได้
เพิ่มคุณค่าให้กับสินค้าและบริการได้ด้วยการนำข้อมูลมาใช้
ทำให้ธุรกิจสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
ช่วยให้โต้ตอบกับโลกภายนอกได้อย่างดี และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หลุมพรางที่ 5: คิดว่าคุณทำ digital transformation เสร็จแล้ว
มีบริษัท 21% ที่คิดว่าพวกเขาทำ digital transformation แม้ว่านี่จะเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องก็ตาม
ตลาดในโลกดิจิทัลเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นั่นหมายความว่าองค์กรต่างๆ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย
การที่คุณอัปเกรดทางเทคโนโลยีแค่ครั้งเดียวจึงไม่พอในการทำ digital transformation ยกตัวอย่างเช่น 99% ขององค์กรในปัจจุบันพึ่งพาการใช้เว็บไซต์และแอปพลิเคชันมือถือ ลำพังแค่การสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ขึ้นมาจึงไม่พอที่จะเอาชนะคู่แข่งได้อีกต่อไป
เคล็ดลับในการทำ digital transformation ระยะยาวให้สำเร็จ
1. ผลตอบรับ
นำคอมเมนต์และเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทุกแผนกมาพิจารณาและนำเสนอกับทีมบริหาร การยอมรับความจริงให้ได้ว่าบริษัทอยู่ในจุดใดและสื่อสารอย่างชัดเจนจะช่วยลดความผิดพลาดตลอดกระบวนการทำ digital transformation ได้
2. ระวังสัญญาณเตือน
คุณควรสังเกตว่ามีสัญญาณแห่งความผิดพลาดอะไรบ้างระหว่างการทำ digital transformation มีการสำรวจในปี 2018 ว่า 70% ของบริษัทที่ทำ digital transformation นั้นล้มเหลวและต้องสูญเงินรวมกว่า 9 แสนล้านดอลลาร์ฯ เลยทีเดียว
สัญญาณเตือนเหล่านี้จะช่วยให้คุณรู้และแก้ข้อผิดพลาดในการปรับระบบเป็นดิจิทัลได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ประหยัดเงินและเวลาได้ในระยะยาว
3. บริหารงานแบบองค์รวม
มี 3 เรื่องที่คุณต้องพิจารณาให้ดีเมื่อต้องเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้เป็นดิจิทัล ได้แก่
สินค้า: บริษัทตั้งเป้าว่าจะพัฒนาสินค้าที่จับต้องได้ด้วยแนวทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่องหรือไม่ แอปฯ ที่ให้ข้อมูลกับลูกค้าเกี่ยวกับสินค้าและโปรโมชันจะทำให้ลูกค้ารู้ข้อมูลลึกขึ้นว่าคุณมีอะไรนำเสนอพวกเขาบ้าง
ข้อมูลเชิงลึก: การมีข้อมูลเชิงลึกจะทำให้คุณรู้ว่าควรขายอะไรให้ลูกค้า และควรขายตอนไหน กว่า 40% ของโปรเจกต์ที่มีการวิเคราะห์ข้อมูลจะบ่งบอกได้ว่าประสบการณ์ลูกค้าโดยรวมจะเป็นอย่างไรในปี 2022
พนักงาน: บริษัทควรโฟกัสกับการทำให้พนักงานทำงานง่ายขึ้นด้วยระบบดิจิทัล การมีแพลตฟอร์มและเครื่องมือให้พนักงานได้ทำงานร่วมกันและบริหารจัดการข้อมูลเชิงลึกจะช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังแสดงถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งภายในและภายนอกบริษัทอีกด้วย
เราช่วยให้คำแนะนำคุณได้
Digital transformation เป็นนวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่งและปฏิวัติสิ่งเก่าๆ ที่เคยมี ในเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน digital transformation ทำให้ขอบเขตของสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป และทำให้ธุรกิจต่างๆ ต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงตาม
ในเมื่อ digital transformation กลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ คุณจึงต้องรู้ว่ามีอุปสรรคอะไรบ้างและควรเตรียมรับมืออย่างไร ดาวน์โหลดคู่มือ digital transformation ของเราได้ที่นี่และอ่านข้อมูลเพิ่มเติมว่ามี
เทรนด์ดิจิทัลอะไรบ้าง และจะมีผลกระทบต่อธุรกิจคุณอย่างไร
หากคุณติดปัญหาเรื่องการวางกลยุทธ์ดิจิทัลหรือการทำความเข้าใจกับตลาดใหม่ๆ ในยุคนี้อยู่ สามารถปรึกษาทีมงานของเราที่มอร์โฟซิสได้ เพราะเรามีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 15 ปีในการทำงานร่วมกับแบรนด์ชั้นนำของเอเชียเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์ดิจิทัล ติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเราวันนี้เพื่อขอรับคำแนะนำฟรี แล้วเราจะช่วยคุณเอง