50 สถิติน่าสนใจที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ Digital Transformation
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา digital transformation ได้กลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่บรรดาภาคธุรกิจทั่วโลกต่างตั้งเป้าที่จะทำให้สำเร็จ ทั้งเพื่อความอยู่รอดและการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต
เพื่อช่วยให้คุณได้รู้ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับเรื่อง digital transformation เราได้รวบรวมสถิติต่างๆ ที่น่าสนใจของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัลในแต่ละแง่มุม ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ได้ดังนี้
บทบาทของการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX design) ในการสร้างผลิตภัณฑ์ดิจิทัล
ความสำคัญของ search engine optimization (SEO) ในฐานะแหล่งที่มาของการเข้าชมทางออนไลน์
การเปลี่ยนแปลงไปสู่การนำข้อมูลมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับลูกค้าด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่
การทำ digital transformation ในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม
บรรดาผู้บริหารต่างกล่าวว่าประโยชน์สูงสุดของการทำ digital transformation คือประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ดีขึ้น (40%) การนำเสนอสินค้าและบริการสู่ตลาดเร็วขึ้น (36%) และความสามารถในการตอบสนองความคาดหวังของลูกค้า (35%) (PTC)
อุตสาหกรรมชั้นนำที่มีการดำเนินกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เน้นในด้านดิจิทัล ได้แก่ การบริการ (95%) บริการทางการเงิน (93%) และการดูแลสุขภาพ (92%)(IDG)
มีบริษัทเพียงแค่ 7% เท่านั้นที่สามารถประยุกต์ใช้ digital transformation ได้อย่างเต็มที่ (ClickZ)
87% ของบริษัททั้งหมดคิดว่าการมาถึงของยุคดิจิทัลจะทำให้อุตสาหกรรมของตนหยุดชะงัก แต่มีเพียง 44% เท่านั้นที่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่อาจเกิดขึ้น (Siliconrepublic)
เกือบครึ่งของบริษัททั้งหมดในปัจจุบันกล่าวว่าการพัฒนาประสบการณ์และความพึงพอใจของลูกค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเริ่มต้นทำ digital transformation (PWC)
บริษัทที่มีความเป็นดิจิทัลสูงสามารถทำกำไรได้มากกว่าบริษัททั่วไปถึง 23% (MIT Digital)
บริษัทที่มีรายได้ 1 พันล้านดอลลาร์ต่อปี จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 700 ล้านดอลลาร์ในระยะเวลาสามปีหลังจากได้ลงทุนในการพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้า (Qualtrics)
56% ของซีอีโอกล่าวว่าการปรับปรุงด้านดิจิทัลทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น (Gartner)
การทำ digital transformation และการมุ่งเน้นที่ประสบการณ์ของลูกค้าสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้เพิ่มขึ้น 20-30% และมีกำไรทางเศรษฐกิจมากขึ้น 20-50% (McKinsey)
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นทวีปที่มีผู้บริโภคด้านดิจิทัลมากถึง 310 ล้านคนภายในปี 2020 ซึ่งนี่เป็นตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้สำหรับปี 2025 (Bloomberg)
กว่า 70% ของประชากรในภูมิภาคที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปจะมีการปรับใช้อุปกรณ์และระบบดิจิทัลภายในสิ้นปี 2020 (Bloomberg)
คนในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีการใช้จ่ายออนไลน์โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นสามเท่าจากปี 2019 เป็น 429 ดอลลาร์ต่อคนในปี 2025 (Bloomberg)
ปัจจุบันการใช้จ่ายทางออนไลน์ของทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คิดเป็น 5% ของตลาดค้าปลีกทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าอินเดียที่มีอยู่ที่ 4% (Bloomberg)
ระหว่างปี 2018 ถึง 2020 มูลค่าการค้ารวมของอีคอมเมิร์ซเติบโต 23% ต่อปี ซึ่งเร็วกว่าจีน อินเดีย และสหรัฐอเมริกา (Bloomberg)
การใช้จ่ายออนไลน์ด้านการค้าปลีกทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คาดว่าจะสูงถึง 53,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นสามเท่าเป็น 147,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2568 (Bloomberg)
ผู้บริโภคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการซื้อสินค้าในหมวดต่างๆ ผ่านทางออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคและบริโภค (ของชำ) โดยกว่า 43% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าขณะนี้พวกเขาเลือกซื้อของชำที่บรรจุหีบห่อผ่านทางอีคอมเมิร์ซ (Bloomberg)
ผู้บริโภคประมาณ 62% กล่าวว่าโซเชียลมีเดีย วิดีโอสั้น และการส่งข้อความเป็นการเข้าถึงช่องทางออนไลน์ที่พวกเขาต้องการมากที่สุดในการค้นหาแบรนด์และผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ (Bloomberg)
กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-wallet) กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดย 22% ของผู้บริโภคเปิดเผยว่าพวกเขาชอบการชำระเงินด้วยวิธีการนี้ สูงกว่าสถิติที่เคยเก็บไว้เมื่อปี 2019 ซึ่งอยู่ที่ 14% (Bloomberg)
การเพิ่มขึ้นของผู้ใช้งานผ่านมือถือ
กว่า 50% ผู้ใช้เผยว่าหากเว็บไซต์ใดรองรับการใช้งานผ่านมือถือได้ไม่ดีพอ พวกเขาก็จะใช้งานเว็บนั้นน้อยกว่าแม้ว่าจะชอบธุรกิจนั้นอยู่แล้วก็ตาม (ThinkWithGoogle)
52% ของผู้ใช้ระบุว่าหากพวกเขาไม่ประทับใจในประสบการณ์การใช้งานผ่านมือถือ มีโอกาสที่พวกเขาจะเข้าถึงและเข้ามามีส่วนร่วมกับบริษัทน้อยลง (ThinkWithGoogle)
มีคนมากถึง 74% ที่มีแนวโน้มอยากจะกลับมาใช้เว็บอีกครั้ง หากเว็บไซต์นั้นๆ ได้รับการปรับให้เหมาะสมกับการใช้งานผ่านมือถือ(ThinkWithGoogle)
53% ของการเข้าชมบนมือถือจะยุติทันทีหากหน้าเว็บใช้เวลาในการโหลดมากกว่าสามวินาที (ThinkWithGoogle)
ผู้ใช้มือถือมีแนวโน้มที่จะละทิ้งสิ่งที่กำลังทำอยู่มากกว่า 5 เท่าหากเว็บไซต์นั้นไม่ได้รับการปรับปรุงให้เหมาะกับการใช้ผ่านมือถือ (Intechnic)
ผู้ใช้มากถึง 80% จะออกจากเว็บไซต์บนมือถือทันทีที่พวกเขาได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ดี (Intechnic)
71% ของผู้เผยแพร่โฆษณากล่าวว่าเนื้อหาบนมือถือที่มีรูปแบบที่ดีจะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้(Intechnic)
มีคนมากถึง 46% ที่ระบุว่าจะไม่ซื้อสินค้าหรือบริการจากแบรนด์ใดๆ อีกหากพวกเขาได้รับประสบการณ์การใช้งานบนมือถือที่ติดขัดและรู้สึกใช้ยาก (Intechnic)
บทบาทของการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX design) ในการสร้างผลิตภัณฑ์ดิจิทัล
ประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ที่ไม่ดีเพียงครั้งเดียวจะลดโอกาสที่ผู้ใช้จะกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์มากถึง 88% (Intechnic)
75% ของผู้ใช้พิจารณาความน่าเชื่อถือของธุรกิจโดยขึ้นอยู่กับการออกแบบเว็บไซต์ของพวกเขา (Intechnic)
ความประทับใจครั้งแรกที่ผู้ใช้มีต่อเว็บไซต์นั้นสูงถึง 94% ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับการออกแบบ (Intechnic)
46% ของนักช็อปออนไลน์เปิดเผยว่าออกจากเว็บไซต์เพราะไม่รู้ว่าบริษัทนั้นทำเกี่ยวกับอะไร (KoMarketing)
หลังจากเข้าสู่หน้าแรก ผู้ใช้ 86% ต้องการดูข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการ และมี 62% สนใจข้อมูลติดต่อ ในขณะที่ 52% จะมองหาข้อมูลในส่วนของ "เกี่ยวกับเรา" ตามลำดับ (KoMarketing)
รายได้ของ ESPN เพิ่มขึ้น 35% หลังจากออกแบบหน้าแรกของเว็บไซต์ใหม่ (Mindtouch)
ทุกๆ 1 ดอลลาร์ฯ ที่ลงทุนในด้าน UX จะให้ผลตอบแทนระหว่าง 2-100 ดอลลาร์ฯ (Forrester)
67% ของผู้บริโภคจะใช้จ่ายมากขึ้นเพื่อเข้าถึงประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม (Salesforce)
74% ของผู้ซื้อธุรกิจกล่าวว่าพวกเขายอมจ่ายมากกว่าเพื่อให้ได้ประสบการณ์ B2B ที่ดีขึ้น (Salesforce)
ระบบอัจฉริยะจะเข้ามามีบทบาทในการโต้ตอบกับลูกค้ามากถึง 70% ภายในปี 2565 (Forrester)
ผู้ใช้คาดหวังว่าหน้าเว็บจะโหลดจนแสดงผลได้ครบในสองวินาที และหลังจากผ่านไปสามวินาที มีผู้ใช้มากถึง 40% ที่จะออกจากเว็บไซต์ของคุณ (GoMez)
ผู้ใช้ 39% จะตัดสินใจออกจากเว็บไซต์หากเนื้อหาหรือภาพไม่โหลดหรือใช้เวลาในการโหลดนานเกินไป (UXCam)
กว่า 86% ของผู้ซื้อยินดีที่จะจ่ายเพิ่มเพื่อประสบการณ์ของลูกค้าที่ยอดเยี่ยม (PWC)
ผู้ใช้ 46% จะออกจากเว็บไซต์หากพวกเขาไม่เข้าใจในข้อความ (ไม่รู้ว่าบริษัททำอะไร) และ 37% จะออกจากเว็บไซต์เนื่องจากการออกแบบหรือการนำทางที่ไม่ดี (Blue Corona)
ผู้ซื้อกลุ่ม B2B กว่า 91% จะทำการค้นหาสิ่งที่พวกเขาต้องการผ่านมือถือ (Frost & Sullivan)
ความสำคัญของ search engine optimization (SEO) ในฐานะแหล่งที่มาของการเข้าชมทางออนไลน์
68% ของประสบการณ์ทางออนไลน์เริ่มต้นด้วยการใช้เครื่องมือค้นหา (search engine) (Brightedge Research)
มีผู้ค้นหาทาง Google เพียง 0.78% เท่านั้นที่จะคลิกผลการค้นหาที่แสดงอยู่ในหน้าที่ 2 (BackLink)
53.3% ของการเข้าชมเว็บไซต์ทั้งหมดมาจากการค้นหาทั่วไป (Brightedge Research)
92.96% ของการเข้าชมทั่วโลกมาจากการค้นหาของ Google, Google Photo, และ Google Maps (SparkToro)
SEO เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มการเข้าชมมากกว่า 1,000% ซึ่งสูงกว่าการเข้าชมทางโซเชียลมีเดีย (Brightedge Research)
69.7% ของคำค้นหาประกอบด้วยคำตั้งแต่ 4 คำขึ้นไป (Ahrefs)
การเปลี่ยนแปลงไปสู่การนำข้อมูลมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับลูกค้าด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่
ลูกค้ากว่า 80% มีแนวโน้มที่จะทำธุรกิจกับบริษัทที่ให้ประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น (Epsilon)
86% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขามีแนวโน้มอย่างมาก หรือค่อนข้างอยากจะทำธุรกิจด้วยเว็บไซต์ หรือแอปฯ ที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ที่นำเสนอประสบการณ์ที่ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับลูกค้า ถึงอย่างนั้น ก็มีเพียง 55% เท่านั้นที่กล่าวว่าปัจจุบันมีเว็บไซต์หรือแอปฯ ที่เกี่ยวกับยานยนต์ที่สามารถมอบประสบการณ์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะได้ดีหรือค่อนข้างดี (Epsilon)
87% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขามีแนวโน้มอย่างมาก หรือค่อนข้างอยากที่จะทำธุรกิจด้วยเว็บไซต์ หรือแอปฯ ท่องเที่ยวที่นำเสนอประสบการณ์เฉพาะบุคคล ถึงอย่างนั้น ก็มีเพียง 64% เท่านั้นที่กล่าวว่าเว็บไซต์หรือแอปฯ ท่องเที่ยวที่สามารถมอบประสบการณ์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะได้ดีหรือค่อนข้างดี (Epsilon)