Tailwind CSS เฟรมเวิร์กที่ช่วยให้ Dev ทำงานง่ายขึ้น
ใครที่คลุกคลีอยู่ในวงการ developer หรือทำงานเกี่ยวกับการดีไซน์ UX/UI คุณคงคุ้นเคยดีกับ CSS framework อย่าง Bootstrap ที่ได้รับความนิยมสูงเป็นลำดับต้นๆ ทว่าตอนนี้ได้มีตัวเลือกที่น่าสนใจที่ช่วยให้ dev ทำงานราบรื่นขึ้นกว่าเดิม นั่นก็คือ Tailwind CSS
สำหรับคนที่เคยได้ยินชื่อเสียง Tailwind CSS แต่ยังไม่รู้ว่าเฟรมเวิร์กนี้มีข้อดีอะไรที่ช่วยให้การทำงานในส่วน front-end ง่ายขึ้น และมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เกิดเป็นเว็บไซต์ที่สมบูรณ์แบบตามแนวคิดแรกเริ่มได้อย่างไรนั้น
วันนี้เราจึงพาคุณมาทำความเข้าใจพื้นฐานตั้งแต่ CSS Framework และ Tailwind CSS คืออะไร? รวมถึงข้อดีของเฟรมเวิร์กที่ช่วยให้นักพัฒนาทำงานได้ง่ายกว่าเดิมไปพร้อมกัน
CSS Framework คืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง?
CSS Framework คือ เครื่องมือที่ช่วยให้นักพัฒนา (developer) กับนักออกแบบ (UX/UI designer) สามารถออกแบบเว็บไซต์ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ด้วยการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานของโค้ดเพื่อไม่ทำให้คุณเสียเวลาไปกับการเขียนโค้ดซ้ำๆ และยังสามารถช่วยในเรื่องของความสม่ำเสมอในหน้า user interface (UI) ของเว็บไซต์ได้อีกด้วย
โดยทั่วไปแล้ว CSS Framework จะไม่ได้มีแค่ CSS เพียงอย่างเดียว แต่ยังมาพร้อมกับ HTML และ JavaScript ซึ่งการใช้งานทั้ง 2 อย่างนี้ง่ายมาก เพียงแค่คัดลอกโค้ดที่ต้องการและนำมาวางในตำแหน่งที่ถูกต้องเท่านั้นเอง และแน่นอนว่าภายในเฟรมเวิร์กก็มีองค์ประกอบสำคัญสำหรับเว็บไซต์พื้นฐานครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น ปุ่ม, แบบฟอร์ม, header, footer และอื่นๆ อีกมาก
เราได้สรุป CSS Framework ไว้ให้คุณเข้าใจง่ายๆ ดังนี้
ออกแบบเว็บได้ไวขึ้น นักพัฒนาและนักออกแบบสามารถใช้ CSS Framework ในการสร้างฟีเจอร์และภาพรวมของเว็บไซต์ เช่น แบบฟอร์ม แถบนำทาง ปุ่มต่างๆ รวมถึงแผนผังเว็บไซต์ที่ดูดีได้ในเวลาสั้นๆ
ลดปัญหาการเกิดบั๊ก CSS Framework ทำให้เว็บไซต์ที่เพิ่งสร้างขึ้นสามารถใช้งานกับเบราว์เซอร์ได้หลายแบบ และยังช่วยลดโอกาสการเกิดบั๊กที่พบได้บ่อยในขณะทดสอบข้ามแพลตฟอร์มระหว่างเดสก์ท็อปกับมือถือ
มีความยืดหยุ่นในการแก้ไข นักพัฒนาสามารถสร้าง UI ที่ดึงดูดสายตาและเป็นมิตรกับผู้ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว แถมยังแก้ไขหน้าตาของ UI ให้เป็นไปตามการออกแบบ (design system) ได้ง่ายๆ อีกด้วย
Tailwind CSS คืออะไร?
Tailwind CSS คือ CSS Utility Framework ที่ช่วยให้นักพัฒนาสร้าง UI ที่สำคัญได้ด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว และยังสามารถปรับแต่งในรายละเอียดปลีกย่อยได้ง่าย เนื่องจากมาพร้อมกับ class สำเร็จรูปสุดอเนกประสงค์ที่ใช้งานได้ทันทีในกรณีที่ต้องการเปลี่ยน UI หลักของเฟรมเวิร์ก เช่น สี ขนาด การจัดวาง หรือปุ่มต่างๆ นั้นทำให้นักพัฒนาแทบไม่ต้องเข้าไปแก้ไขที่ไฟล์ CSS หลักเลย
จะว่าไป Tailwind CSS ก็เหมือนเวลาที่เราเล่นบล็อกของเล่นหรือตัวต่อตอนเด็กๆ เพราะชิ้นส่วนต่างๆ มีขนาด รูปร่าง และสีสันที่แตกต่างกัน ซึ่งคุณสามารถประกอบร่างอะไรก็ได้ตามใจชอบตามความต้องการหรือจินตนาการของคุณ
ตัวต่อ 1 ชิ้นของ Tailwind CSS ถูกเรียกว่า class component ยกตัวอย่างเช่น
bg-red-500 จะได้พื้นหลังสีแดงที่สามารถไล่เฉดสีจากอ่อนไปเข้ม ด้วยการกำหนดค่า 100 จากสีอ่อนสุดจนถึง 900 ที่เป็นเฉดสีเข้มสุด
text-red-300 จะได้ตัวอักษรสีชมพู (แดงอ่อน) และกำหนดค่าสีได้เช่นเดียวกับพื้นหลัง
grid-cols-3 จะได้คอลัมน์ 3 แถวเพิ่มขึ้น
เหตุผลที่นำเฉดสีเหล่านี้มาเป็นตัวอย่างนั้น เป็นแค่คอมโพเนนต์เบื้องต้น เพราะจริงๆ แล้วยังมีลูกเล่นอีกมากที่คุณสามารถเข้าไปลองใช้งานด้วยตัวเองได้
4 ข้อดีของ Tailwind CSS
มาดูกันว่า Tailwind CSS ที่เป็นเฟรมเวิร์กในกลุ่ม utility-first ช่วยให้นักพัฒนาและนักออกแบบทำงานได้ง่ายขึ้นอย่างไร
1. ปรับแต่งลูกเล่นได้หลากหลาย
โดยปกติแล้ว CSS Framework จะมาพร้อมกับโค้ด HTML และ JavaScript ด้วย จึงทำให้การปรับแต่งแต่ละอย่างอาจไม่สะดวกมากนักในบางครั้ง แต่ Tailwind CSS เป็น utility ที่คุณสามารถนำไปใส่กับอะไรก็ได้ แถมยังสามารถปรับแต่งดีไซน์ ธีม ระยะห่าง สี และลูกเล่นอื่นๆ ได้สะดวกและเข้าใจง่ายอีกด้วย จนได้ผลลัพธ์เป็นเว็บไซต์ที่ถูกพัฒนามาตรงกับความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
2. Utility ที่ช่วยให้ตั้งชื่อ Class ได้ง่ายขึ้น
จากเดิมที่ต้องใช้วิธีเขียน Hardcode ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นเพียงการใช้ฟังก์ชัน (theme) เพื่อดึงค่าจากไฟล์ configuration เท่านั้น นักพัฒนาจึงไม่ต้องปวดหัวกับการตั้งชื่อของ class ที่จำเป็นต้องทำให้ต่างกันอีกต่อไป เนื่องจาก utility ทั่วไปมักเปิดโอกาสให้ dev กำหนดและจัดการ class ต่างๆ ได้ รวมถึง class ที่เรียงซ้อนกันอยู่ให้สะดวกยิ่งขึ้น
3. การเพิ่มประสิทธิภาพ Purge CSS
Purge CSS จะช่วยลดขนาดไฟล์ด้วยการสแกนโค้ด HTML และกำจัด class ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว เมื่อใช้ Purge CSS ร่วมกับ Tailwind CSS ก็จะช่วยให้ทุกอย่างมีประโยชน์ขึ้น ในกรณีที่โปรเจกต์ของคุณมีขนาดใหญ่ขึ้น Purge CSS ก็จะช่วยลดและล้างขนาดไฟล์ CSS จึงทำให้คุณจัดระเบียบข้อมูลอันมหาศาลได้อย่างไร้ขีดจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนก่อนการทดสอบการใช้งานเว็บไซต์จริง
4. ทำเว็บไซต์ Responsive Design ได้ง่ายขึ้น
การกำหนดค่าเริ่มต้นของ Tailwind CSS จะมุ่งเน้นที่โทรศัพท์มือถือเป็นอันดับแรก นั่นจึงทำให้ utility class ทั้งหมดใน Tailwind สามารถปรับเปลี่ยนเงื่อนไขในจุดสั่งหยุดที่แตกต่างกันได้ง่าย ซึ่งการสร้างหน้าต่างผู้ใช้งานที่ปรับเปลี่ยนการจัดวางได้เหมาะสมตามขนาดของหน้าจอมือถือแต่ละรุ่นนั้นทำได้ง่ายมาก โดยไม่จำเป็นต้องออกจาก HTML เลยด้วยซ้ำ
Tailwind CSS เฟรมเวิร์กที่คุณ (Dev) ควรเรียนรู้
Tailwind CSS คืออีกหนึ่งเฟรมเวิร์กที่เข้ามาช่วยให้การทำงานของ dev หรือผู้ที่สนใจดำเนินงานได้สะดวกรวดเร็วกว่าเดิม ด้วย utility class ที่ง่ายต่อการเรียนรู้และใช้งานนี้เอง จึงเป็นสิ่งที่คุณควรเริ่มทดลองใช้งาน ซึ่งอาจเริ่มจากการสร้างหน้าเว็บไซต์ง่ายๆ ของตัวเองขึ้นมา หรือจะลองเล่นและแก้ไขดูว่าคุณสามารถปรับตัวเข้ากับ Tailwind CSS ได้แค่ไหน เพียงเท่านี้คุณก็จะเป็น dev ที่โดดเด่นในสายตาของเพื่อนร่วมงานและองค์กรได้แล้ว
หากคุณกำลังมองหาทีม Developer และทีม UX/ UI Designer ที่มีความเข้าใจในทุกรายละเอียดเกี่ยวกับการพัฒนา digital product พวกเราที่ Morphosis ก็พร้อมให้คำปรึกษากับคุณฟรี พูดคุยกับเราตอนนี้