คู่มือการทำ SEO ฉบับสมบูรณ์
หากคุณกำลังมองหาข้อมูลเชิงลึกล่าสุดเกี่ยวกับ SEO เราช่วยให้คุณรู้ได้อย่างครอบคลุมและลึกซึ้ง!
ในยุคดิจิทัลที่ทุกคนเข้าถึงเว็บไซต์กันเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหา (SEO) จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกธุรกิจออนไลน์จำเป็นต้องทำ โดยเฉพาะกับการแข่งขันกันเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมองเห็นทางออนไลน์เพิ่มขึ้นที่ได้ทวีความรุนแรงอย่างมาก จุดนี้เองที่ทำให้ SEO มีบทบาทสำคัญ เพราะทุกบริษัทต้องใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทั้งหมดที่มีอยู่ และ SEO ก็ได้ก้าวไปอยู่ในแถวหน้าของรายการที่พวกเขาต้องลงมือทำอย่างจริงจัง
ในฐานะบริษัท SEO ชั้นนำที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ภารกิจของเราคือการมอบความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับแก่นแท้ของ SEO, กระบวนการที่ซับซ้อน, และวิธีที่คุณสามารถใช้ประโยชน์จากพลังของมันเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเข้าชมทางออนไลน์จำนวนมากในยุคดิจิทัล โดยคู่มือการทำ SEO ฉบับสมบูรณ์นี้จะช่วยคุณในการค้นหาคำตอบสำหรับคำถามต่อไปนี้
SEO คืออะไร?
Search engine คืออะไร?
ทำอย่างไรเว็บไซต์ถึงจะอยู่ในอันดับที่ดีบน Google?
การติดตามประสิทธิภาพของการทำ SEO ควรทำอย่างไร?
วิธีพัฒนา SEO ของคุณไปสู่อีกระดับ
SEO คืออะไร?
เมื่อเราพูดถึง SEO (Search Engine Optimization) สิ่งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อการปรับปรุงเว็บไซต์หรือหน้าเว็บให้สามารถดึงดูด organic traffic ที่มาจากผลลัพธ์ในหน้าการค้นหาของ search engine ได้เพิ่มมากขึ้น
สำหรับการทำให้ SEO มีภาพรวมที่ดียิ่งขึ้นนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจวัตถุประสงค์สูงสุด ซึ่งก็คือการสร้างช่องทางสร้างรายได้ทางออนไลน์ให้พร้อมต่อการขยายธุรกิจได้ในอนาคต ด้วยการทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกจัดอันดับในหน้าผลลัพธ์หน้าแรกของ Google โดยเฉพาะ 3 ลำดับแรก สิ่งนี้จะนำไปสู่การเพิ่มยอดเข้าชมแบบออร์แกนิกให้เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณอย่างมีนัยสำคัญ
เพราะอะไร SEO ถึงมีความสำคัญมากต่อธุรกิจ?
การที่ผู้คนในปัจจุบันสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้พวกเขาค้นพบและทำความเข้าใจในธุรกิจของคุณได้ง่ายขึ้น รวมถึงเปลี่ยนตัวเองมาเป็นลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อสินค้าและชำระเงินผ่านทางออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว ความเป็นจริงนี้ช่วยตอกย้ำความสำคัญของ SEO ที่เพิ่มขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่ตลาดดิจิทัลในปัจจุบันมีการแข่งขันสูงมากนั่นเอง
โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งที่ SEO สามารถช่วยธุรกิจของคุณได้มีดังนี้
เพิ่มรายได้ทางออนไลน์ของคุณ ผ่านการมีส่วนร่วมกับผู้ใช้ทางออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ
แสดงให้ทุกคนเห็นถึงความเชี่ยวชาญของคุณในอุตสาหกรรม เสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ และส่งเสริมให้ลูกค้ามีความภักดีต่อแบรนด์ของคุณเพิ่มขึ้น
ค่อยๆ ลดต้นทุนต่อการได้ลูกค้าหนึ่งรายของคุณเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มอัตรากำไรในระยะยาว
ตอนนี้คุณคงได้ทราบถึงประโยชน์ที่ SEO มีผลต่อธุรกิจแล้ว เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการทำ SEO อันแตกต่างกันสองแนวทาง ซึ่งคุณต้องระมัดระวังก่อนที่จะพิจารณาจ้างเอเจนซีทำ SEO หรือสร้างทีม SEO ของคุณเองภายในองค์กร
White hat กับ black hat SEO คืออะไร?
ปัจจุบันมีสองวิธีหลักในการทำ SEO ที่เราเรียกว่า white hat และ black hat SEO
แม้ว่าทั้งสองวิธีนี้จะตั้งเป้าหมายเพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณมีการมองเห็นทางออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น แต่สองแนวทางกลับมีความแตกต่างกันอย่างมาก
White hat SEO คือแนวทางที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของ search engine อย่างเคร่งครัดเพื่อเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามกฎและหลีกเลี่ยงบทลงโทษที่อาจเกิดขึ้นได้จากการตัดสินของ Google
ในทางกลับกัน black hat SEO คือใช้แนวทางที่ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎและข้อบังคับ ซึ่งเสี่ยงที่จะได้รับบทลงโทษสูงมาก รวมถึงการถูกแบนเว็บไซต์ออกจากหน้าผลลัพธ์การค้นหาของ Google ทันทีที่พวกเขาตรวจพบการกระทำผิดของเว็บไซต์คุณ
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาสำรวจความแตกต่างระหว่างสองวิธีนี้โดยละเอียดกันดีกว่า
White Hat SEO
กลยุทธ์การทำ white hat SEO ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์และกฎของ Google วิธีการนี้ไม่เพียงแต่ปกป้องเว็บไซต์ของคุณจากปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกลงโทษได้อีกด้วย
กลยุทธ์ white hat SEO ประกอบด้วย
สร้างคอนเทนต์คุณภาพสูง
แก้ไขปัญหา technical SEO
ใช้กลยุทธ์การทำ internal linking
การเพิ่มประสิทธิภาพ on-page SEO
วัตถุประสงค์หลักของ Google คือการนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณค่าและเกี่ยวข้องกับผู้ใช้ ด้วยการใช้กลยุทธ์ SEO ที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง คุณสามารถผลักดันเว็บไซต์ของคุณให้ไปอยู่ใน 10 ลำดับของผลลัพธ์การค้นหาในหน้าแรกของ Google ได้
Black Hat SEO
กลยุทธ์การทำ black hat SEO จะมุ่งไปที่การโกงหรือหลอกอัลกอริทึมของ search engine รวมถึงจงใจเพิกเฉยต่อกฎและหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดย Google กลยุทธ์เหล่านี้มุ่งเป้าไปที่ Google bot เป็นหลัก แทนที่จะเป็นผู้อ่านที่เป็นมนุษย์อย่างเรา ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกลงโทษโดย Google เป็นอย่างมาก
สิ่งสำคัญคือ ต้องหลีกเลี่ยงกลยุทธ์ต่อไปนี้
Keyword stuffing: การใส่คีย์เวิร์ดในคอนเทนต์มากเกินไป
คีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้อง: รวมคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
ข้อความที่มองไม่เห็น: ซ่อนข้อความจากผู้อ่านที่เป็นมนุษย์ แต่ทำให้ search engine มองเห็นได้
Link scheme: ทำการโกงเพื่อปรับแต่ง backlink
กลวิธีเหล่านี้ถือเป็นการหลอกลวงที่ไม่ถูกต้อง โดย Google จะถือว่าการทำสิ่งเหล่านี้ผิดกฎ เนื่องจากมีการเข้าจัดการและแทรกแซงผลลัพธ์ของ search engine ซึ่งเข้าไปขัดขวางความสามารถของเครื่องมือในการนำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและมีประโยชน์มากที่สุดแก่ผู้ค้นหา
จะเกิดอะไรขึ้นหาก Google ตรวจพบแนวทางการทำ SEO ที่ไม่ถูกต้อง? หากคุณได้ทำการละเมิดสิ่งใดๆ ก็ตามที่อัลกอริทึมของ Google เพิ่งอัปเดตไป หรือการวิเคราะห์โดยทีมงาน อาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับการค้นหาของเว็บไซต์ได้
การอัปเดตอัลกอริทึมที่โดดเด่นทั้งสามรายการของ Google ได้แก่
Google Florida ลงโทษเว็บไซต์ที่มีการทำ keyword stuffing
Google Panda ลงโทษเว็บไซต์ที่ผลิตเนื้อหาคุณภาพต่ำหรือซ้ำกัน
Google Penguin ลงโทษเว็บไซต์ที่มีส่วนร่วมในการสร้าง backlink ที่ไม่ดี
เว็บไซต์ที่มีส่วนร่วมในแนวทางการทำ black hat SEO อาจเผชิญกับบทลงโทษสองประเภทดังนี้
การลงโทษโดยคนของ Google: ในกรณีนี้ ตัวแทนของ Google จะตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณด้วยตนเองและกำหนดบทลงโทษโดยดูจากสิ่งที่คุณได้ทำการละเมิดกฎที่ระบุไว้
การลงโทษโดยอัลกอริทึม: อัลกอริทึมของ Google จะตรวจพบการละเมิดหลักเกณฑ์ของเว็บไซต์ของคุณโดยอัตโนมัติ และพวกเขาจะลดอันดับของเว็บไซต์ลงในภายหลัง
ความแตกต่างนี้หมายความว่าอย่างไรในแง่ของการปฏิบัติ?
ความแตกต่างของทั้งสองแนวทางนี้อยู่ตรงข้อเท็จจริงที่ว่า ถึงแม้กลยุทธ์การทำ black hat SEO อาจทำให้อันดับขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความเสี่ยงสูงและผิดจรรยาบรรณ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ แม้ว่าเทคนิค black hat SEO จะช่วยสร้างยอดการเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว แต่นี่ก็ไม่ใช่กลยุทธ์ระยะยาวที่ยั่งยืนหรือน่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย
หากคุณกำลังต้องการเพิ่มยอดการเข้าชมในช่วงสั้นๆ การใช้โฆษณาออนไลน์ก็ถือเป็นทางเลือกที่ได้ผลซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการลงโทษที่อาจเกิดขึ้นจาก Google ในทางกลับกัน white hat SEO เป็นวิธีการที่เชื่อถือได้และมีจริยธรรมในการเพิ่มยอดการเข้าชมและเสริมสร้างการหารายได้ทางออนไลน์ให้กับคุณในระยะยาว
Search engine คืออะไร?
Search engine คือเครื่องมือออนไลน์ที่ออกแบบมาเพื่อค้นหาและดึงข้อมูลตามคำค้นหาหรือคีย์เวิร์ดที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามาสู่ระบบ โดยจะประมวลผลคำค้นหาและสร้างรายการผลลัพธ์ที่เป็นระเบียบ ซึ่งโดยทั่วไปจะประกอบด้วยเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดที่ทำการค้นหา
ในปัจจุบันมี search engine อยู่มากมาย ซึ่งแต่ละแบบมีฟังก์ชันและคุณสมบัติเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม Google ถือได้ว่ามีความโดดเด่นเพราะได้รับความนิยมและมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก
Search engine ทำงานอย่างไร?
ด้วยหน้าเว็บไซต์หลายพันล้านหน้าที่อยู่บน World Wide Web คุณอาจสงสัยว่าเครื่องมือค้นหาเช่น Google จัดการกับการค้นหา จัดเก็บ และแสดงเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องได้อย่างไรในเวลาที่คุณป้อนข้อความที่ต้องการค้นหาลงในช่องค้นหา
โดยปกติแล้วจะมี 3 กระบวนการพื้นฐานที่ Google ดำเนินการบนระบบ search engine ของพวกเขา
Crawling
Indexing
Ranking
1. Crawling (การรวบรวมข้อมูล)
Crawling หรือการรวบรวมข้อมูลเป็นขั้นตอนเริ่มต้นที่เครื่องมือค้นหา เช่น Google จะใช้ bot ที่เรียกว่า crawler หรือ spider เพื่อค้นหาคอนเทนต์ใหม่ๆ และทำการอัปเดตข้อมูลเหล่านั้นเข้าสู่ฐานข้อมูล
Crawler เหล่านี้จะสำรวจและวิเคราะห์เว็บไซต์อย่างเป็นระบบเพื่อรวบรวมดัชนีที่ครอบคลุมของข้อมูลที่จัดเก็บไว้ เมื่อรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ของคุณ Google Bot จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหน้าเว็บที่เข้าถึงได้ในทุกๆ หน้าที่พวกมันพบ
โดย Google Bot จะค้นพบเว็บไซต์ต่างๆ ผ่านลิงก์เป็นหลัก ด้วยการตรวจสอบไฟล์ robots.txt ของเว็บไซต์ของคุณเพื่อทำความเข้าใจคำแนะนำในการรวบรวมข้อมูลที่ระบุไว้ นอกจากนี้ ยังทำการสำรวจเว็บไซต์ของคุณโดยใช้ internal link และอาจอ้างอิงถึง XML sitemap หากคุณได้ตั้งค่าเอาไว้
การตรวจสอบความสามารถในการรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ของคุณอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ SEO เนื่องจากจะป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นซึ่งอาจขัดขวาง Google Bot จากการสำรวจและจัดทำดัชนีเนื้อหาเว็บไซต์ของคุณอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
2. Indexing (การจัดทำดัชนี)
หลังจากขั้นตอนการรวบรวมข้อมูล Google จะดำเนินการตามขั้นตอนการจัดทำดัชนีทันที
ระหว่างการจัดทำดัชนี Google จะดาวน์โหลดและจัดเก็บข้อมูลที่รวบรวมไว้ทั้งหมดจากเว็บไซต์ของคุณและนำมันไปไว้ในฐานข้อมูลดัชนี โดยเจ้าดัชนีนี้ทำหน้าที่เป็นเหมือนห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มีเว็บไซต์หลายพันล้านแห่งที่ Google ได้สะสมไว้ตลอดประวัติศาสตร์ของการรวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนี
ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องแน่ใจว่า Google สามารถจัดทำดัชนีหน้าเว็บที่สำคัญในเว็บไซต์ของคุณ พร้อมๆ กับหลีกเลี่ยงการจัดทำดัชนีหน้าเว็บที่ไม่สำคัญหรือเป็น private page ในแง่มุมนี้ของ SEO มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็นและการเข้าถึงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณในผลลัพธ์ของ search engine
3. Ranking (การจัดอันดับ)
เมื่อผู้ใช้ป้อนข้อความที่ต้องการจะค้นหาลงในแถบค้นหาของ Google ระบบก็จะดำเนินการค้นหาดัชนีทั้งหมดและใช้อัลกอริทึมการจัดอันดับเพื่อกำหนดว่าควรแสดงหน้าเว็บใดในผลการค้นหา กระบวนการของหน้าเว็บที่ปรากฏในผลการค้นหาสำหรับคีย์เวิร์ดใดคีย์เวิร์ดหนึ่ง โดยทั่วไปเราเรียกสิ่งนี้ว่าการจัดอันดับหรือ ranking นั่นเอง
วัตถุประสงค์หลักของกระบวนการนี้คือการส่งมอบผลลัพธ์เฉพาะให้กับผู้ใช้ เพราะหน้าที่ของ search engine คือการเลือกและขยายดัชนีของผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องมากที่สุดซึ่งสอดคล้องกับข้อความค้นหา แม้จะมีการตรวจสอบเว็บไซต์หลายพันล้านแห่งทั่วโลกโดยใช้อัลกอริทึมต่างๆ แต่การดำเนินการนี้ก็สามารถเสร็จสิ้นเพียงชั่วพริบตาภายในเวลาไม่กี่มิลลิวินาทีเท่านั้น
โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งเนื้อหาของเว็บไซต์มีความเกี่ยวข้องและมีความสำคัญมากเท่าใด โอกาสที่หน้าเว็บที่มีคอนเทนต์ดังกล่าวก็ยิ่งจะปรากฏเด่นชัดในการจัดอันดับของ search engine สำหรับคำค้นหาคำหนึ่งก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น.
ทำอย่างไรเว็บไซต์ถึงจะอยู่ในอันดับที่ดีบน Google?
วัตถุประสงค์หลักของ Google คือการให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้แก่ผู้ใช้
เพื่อให้ได้รับการจัดอันดับที่สูงขึ้นใน Google สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณแสดงถึง E.A.T ซึ่งย่อมาจาก Expertise, Authority, และ Trustworthiness ได้อย่างครบถ้วน
Expertise (ความเชี่ยวชาญ): คุณภาพของคอนเทนต์มีบทบาทสำคัญในแสดงถึง expertise โดยผู้เขียนจำเป็นต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญในหัวข้อที่เขียน รวมถึงเนื้อหาในนั้นควรสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญของพวกเขาได้อย่างถูกต้องและให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าแก่ผู้อ่าน
Authority (ความมีคุณภาพ): authority เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดขึ้นจากชื่อเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงอิทธิพลในอุตสาหกรรม ซึ่งเว็บไซต์ของคุณควรได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่ใครๆ ต่างก็พูดถึง แน่นอนว่าการสร้าง authority เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งบทวิจารณ์ที่เกี่ยวข้อง, การอ้างอิง, ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ, และข้อมูลบนเว็บที่เชื่อถือได้อีกมากมาย
Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ): ความน่าเชื่อถือขึ้นอยู่กับความโปร่งใส และความถูกต้องของทั้งคอนเทนต์และหน้าเว็บที่นำเสนอ โดยผู้คนทั่วไปควรที่จะสามารถระบุตัวคุณและภูมิหลังของคุณได้ โดยการมองเห็นว่าคุณเป็นแหล่งความรู้ที่เชื่อถือได้สำหรับพวกเขา
แม้ว่าแนวคิดในการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณสำหรับปัจจัยการจัดอันดับ SEO อาจดูสมเหตุสมผลในทางทฤษฎี แต่การนำไปใช้จริงนั้นจำเป็นต้องใช้วิธีการแบบองค์รวมและกลยุทธ์การทำ SEO ที่ออกแบบไว้เป็นอย่างดี เพราะเป้าหมายของกลยุทธ์ SEO ก็คือการเพิ่มการเข้าชมแบบออร์แกนิกและพาผู้ชมไปยังเว็บไซต์ของคุณ
ในส่วนนี้ เราจะยกตัวอย่างของกลยุทธ์การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งครอบคลุมกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่กลยุทธ์และการวางแผนไปจนถึงการสร้างลิงก์ เมื่อปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เหล่านี้แล้ว คุณจะสามารถใช้หลักการ E.A.T สำหรับเว็บไซต์ของลูกค้าและปรับปรุงอันดับการค้นหาที่ search engine แสดงผลได้
โดยทั่วไปแล้ว กลยุทธ์หรือแคมเปญ SEO คุณภาพสูงควรมีองค์ประกอบหลักดังต่อไปนี้
การทำ keyword research
การทำคอนเทนต์ SEO
การทำ on-page SEO
การทำ technical SEO
การทำ link building (off-page SEO)
1. การทำ keyword research
ในการเริ่มต้นกลยุทธ์การทำ SEO ของคุณ ขั้นตอนแรกสุดเลยก็คือการทำ keyword research และทำความเข้าใจวิธีที่ผู้ใช้สื่อสารกับ search engine เพื่อค้นหาสิ่งที่พวกเขาต้องการ
มีเครื่องมือหลายอย่างที่สามารถช่วยคุณดำเนินการวิเคราะห์นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือการทำ SEO แบบเสียเงิน เช่น SEMRush, Ahrefs และ Moz ที่ให้ข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับพฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้และข้อมูลเชิงลึกอันมีค่า อย่างไรก็ตาม หากคุณมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ทางเลือกฟรี เช่น Google Keyword Planner และ UberSuggest ก็จัดว่าเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมซึ่งสามารถให้ข้อมูลคีย์เวิร์ดที่มีคุณค่าได้ดีเหมือนกัน
การทำ keyword research มีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จของแคมเปญ SEO ของคุณ หากคอนเทนต์ของคุณไม่สามารถตอบโจทย์ได้ตรงตามคำหรือสิ่งที่ผู้ใช้เลือกใช้ในการค้นหาได้ คอนเทนต์เหล่านั้นของคุณก็จะไม่สามารถขึ้นไปแสดงอยู่บนผลลัพธ์การค้นหาหน้าแรก Google ได้
ด้วยการใช้เครื่องมือที่เราได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ คุณจะสามารถประเมินยอดการค้นหาในแต่ละรายเดือนสำหรับคีย์เวิร์ดเป้าหมายของคุณในแต่ละหน้าของเว็บไซต์ได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ
2. การทำคอนเทนต์ SEO
คอนเทนต์เป็นรากฐานของกลยุทธ์การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ โดยคุณภาพคอนเทนต์ของคุณจะเป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดผู้อ่าน และ Google ก็ได้ตระหนักถึงความสำคัญของคอนเทนต์เป็นอย่างมาก เมื่อคอนเทนต์ของคุณสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้สำเร็จ Google จะให้รางวัลกับเว็บไซต์ของคุณด้วยการปรับอันดับให้ขึ้นไปอยู่สูงกว่าเดิมในหน้าผลลัพธ์ของ search engine (SERP)
Google พยายามที่จะให้คำตอบที่ชัดเจนและครอบคลุมแก่ผู้ใช้ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องหลีกเลี่ยงการสร้างบทความที่มีเนื้อหาเพียงน้อยนิด และเน้นไปที่การผลิตคอนเทนต์ที่ผ่านการค้นคว้าข้อมูลมาอย่างดี ต้องเต็มไปด้วยรายละเอียดและมีคุณค่าคุ้มแก่การอ่าน ซึ่งให้คำตอบที่เคลียร์ทุกข้อสงสัยในคำถามของผู้ใช้ได้ โดยการสร้างคอนเทนต์ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มโอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะถูกจัดอันดับให้สูงขึ้นในหน้าผลการค้นหา รวมถึงให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้ใช้ได้อย่างแพร่หลายมากขึ้น
3. การทำ on-page SEO
การทำ on-page SEO นั้นเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งที่อยู่ภายในเว็บไซต์ ซึ่งส่งผลให้อันดับการค้นหาแบบออร์แกนิกของเว็บไซต์ขยับไปอยู่ในลำดับที่สูงขึ้น
แม้ว่าการปรับชื่อเรื่อง, H1, meta tag, alt tag และองค์ประกอบอื่นๆ อาจดูเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเหล่านั้นด้วยตัวเองทุกอย่าง หากเว็บไซต์คุณใช้ WordPress พร้อมกับติดตั้งปลั๊กอินเช่น Yoast หรือ Rank Math ก็สามารถช่วยคุณในการเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นมาก
เหล่านี้คือปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับ on-page
คอนเทนต์ที่มีคุณภาพ – สร้างคอนเทนต์ที่เขียนขึ้นมาอย่างดีเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่ให้ข้อมูลหรือกระตุ้นให้เกิดความอยากซื้อสินค้าและบริการ
Title tag – title tag เป็นองค์ประกอบ HTML ที่อธิบายชื่อเพจของคุณและปรากฏเป็นแท็กที่คลิกได้ในหน้าผลลัพธ์ของ search engine (SERP) ซึ่งควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า title tag ของคุณแสดงถึงเนื้อหาอย่างถูกต้องและเขียนให้อยู่ภายในช่วง 30-60 ตัวอักษร
Meta description tag – meta description tag จะทำหน้าที่สรุปเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณและปรากฏอยู่ใต้ title tag ใน SERP โดยแนะนำให้เขียนยาวประมาณ 70-155 ตัวอักษร
URL – ปรับแต่ง URL ของคุณให้เป็นมิตรกับ SEO โดยทำให้อ่านง่าย กระชับ โดยใช้ยัติภังค์ (-)เป็นตัวคั่น และเขียนเป็นตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด พร้อมกับจัดระเบียบโฟลเดอร์ URL ของคุณ (แยกส่วน) เพื่อให้สะท้อนถึงโครงสร้างของเว็บไซต์ของคุณ
Alt tag – alt tag หรือที่เรียกว่าข้อความอธิบายรูปภาพ ใช้เพื่ออธิบายรายละเอียดของรูปภาพที่อยู่บนเว็บไซต์ของคุณว่าคืออะไร เพื่อช่วยให้ search engine เข้าใจภาพของคุณและทำให้คะแนน SEO ออกมาดีขึ้น
Heading 1 Tags (H1) – H1 tag เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญสำหรับผู้ใช้และเครื่องมือค้นหาเพื่อกำหนดหัวข้อหลักของหน้า แต่ละหน้าควรมี H1 tag เพียงจุดเดียวเท่านั้นและต้องแสดงถึงหัวข้อหลักของหน้าได้อย่างถูกต้อง
แม้ว่า H1 tag จะมีความสำคัญอย่างมากในฐานะตัวแปรที่ส่งผลต่อการจัดอันดับ โดยเฉพาะกับการทำ on-page SEO สำหรับหน้าต่างๆ บนเว็บไซต์ แต่การเพิ่มประสิทธิภาพหน้าเว็บไซต์ของคุณนั้นยังมีอะไรที่นอกเหนือไปจากส่วน heading และ meta description เพราะต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น สอดคล้องกับจุดประสงค์ในการค้นหา, การมีเนื้อหาที่ครอบคลุม, และการทำ internal link อย่างถูกต้อง เหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับสูงขึ้นในหน้าผลลัพธ์ของ search engine (SERP)
แม้ว่า title tag และ meta description อาจไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออันดับของคุณ แต่แท็กเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการเพิ่ม click-through rate แบบออร์แกนิก ซึ่งนำไปสู่การมองเห็นและการเข้าชมเว็บไซต์ที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
4. Technical SEO
Technical SEO อาจฟังดูน่ากลัวสำหรับคนที่ไม่เข้าใจ แต่สิ่งนี้มีบทบาทสำคัญในการทำให้ search engine สามารถค้นพบเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะ Google เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพและช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความเสถียรและปลอดภัย เพื่อช่วยเพิ่มการมองเห็นในหน้าผลลัพธ์การค้นหา
สำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่ เราขอแนะนำให้ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้าน technical SEO เพราะพวกเขาใช้เครื่องมือเช่น DeepCrawl และ Screaming Frog เพื่อทำการวิเคราะห์เว็บไซต์ในเชิงลึก พร้อมกับระบุและจัดการกับปัญหาทางเทคนิคที่ส่งผลต่อคะแนน SEO รวมถึงลดทอนประสิทธิภาพการทำงานของเว็บไซต์คุณ
นี่คือปัจจัย technical SEO ที่ต้องพิจารณา
Robots.txt File –Google Bot จะดูว่าไฟล์ robots.txt อ้างอิงถึงอะไรบ้าง เพื่อดำเนินการรวบรวมข้อมูลสำหรับแต่ละเว็บไซต์ ไฟล์นี้จะสรุปว่าส่วนใดของเว็บไซต์ที่ bot ควรหรือไม่ควรรวบรวมข้อมูล
URL Redirect – การทำ URL redirect ที่เหมาะสมจะช่วยให้ search engine เข้าใจการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้าง URL ของเว็บไซต์ของคุณ เช่น การเปลี่ยนหน้าหรือหน้าที่ปิดการใช้งาน เราขอแนะนำให้ใช้การทำ 301 redirect สำหรับการเปลี่ยน URL แบบถาวรแทนการเปลี่ยนเส้นทางชั่วคราว
Meta robot – meta robot tag คือข้อมูลโค้ดหรือป้ายกำกับ HTML ที่จะบอกเครื่องมือค้นหาเกี่ยวกับวิธีจัดการกับการรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์ เช่น noindex หรือ nofollow tag เพื่อป้องกันไม่ให้ search engine อย่าง Google ส่ง bot ของพวกเขาเข้ามาจัดทำดัชนีและการรวบรวมข้อมูลของหน้าที่คุณตั้งค่า meta robot tag เอาไว้
XML sitemap – XML sitemap คือสิ่งที่แสดงรายการ URL ทั้งหมดบนเว็บไซต์ของคุณ ทำหน้าที่เป็นแผนงานสำหรับ search engine เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจ จนสามารถทำการรวบรวมข้อมูลรวมถึงจัดทำดัชนีในเว็บไซต์ของคุณได้ลึกและละเอียดยิ่งขึ้น
Canonical tag – canonical tag ทำหน้าที่ระบุว่าหน้าไหนคือหน้าหลักของหน้าเว็บที่อาจมีเนื้อหาใกล้เคียงกัน ซึ่งช่วยแก้ไขปัญหาเนื้อหาที่ซ้ำกัน
Schema markups (structured data) – schema markup จะทำให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาของหน้าเว็บนั้นๆ ได้มากขึ้น และช่วยให้ search engine สามารถสร้างตัวอย่างข้อมูลที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของคุณในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้หน้าเว็บนั้นติดอยู่ในตำแหน่งสูงสุดที่เรียกว่า featured snippet โดยการนำเสนอจุดเด่นของบริการ รวมถึงคุณลักษณะ SERP อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ
Technical SEO คือรากฐานที่สำคัญของกลยุทธ์ SEO ที่ประสบความสำเร็จ และเป็นเรื่องที่ควรได้รับการจัดลำดับความสำคัญตั้งแต่เริ่มทำแคมเปญ ด้วยการสร้างเฟรมเวิร์ก technical SEO ที่รัดกุม เนื่องจากคอนเทนต์และ backlink ของคุณจะส่งผลเชิงบวกอย่างมากต่ออันดับแบบออร์แกนิกของเว็บไซต์คุณนั่นเอง
5. Link Building (off-page SEO)
เมื่อเว็บไซต์ใดก็ตามใส่ externel link ที่เป็นหนึ่งใน URL ของหน้าเว็บไซต์คุณเพื่ออ้างอิงอะไรก็ตามบนหน้าเว็บของพวกเขา นั่นแสดงว่าคุณได้รับ backlink แล้ว ในสายตาของ Google นั้น backlink แต่ละรายการเปรียบเสมือนคะแนนความเชื่อมั่น ซึ่งบ่งชี้ว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และมีชื่อเสียงในแวดวงที่คุณเกี่ยวข้อง
การได้รับ backlink จากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือ สามารถเพิ่มคุณภาพของเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมาก และส่งผลดีต่ออันดับของคุณในผลลัพธ์การค้นหา
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือคุณต้องทราบว่า Google ไม่สนับสนุนให้ใครก็ตามซื้อ backlink แต่วิธีนี้ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ black hat SEO ที่พบได้บ่อย เพราะมีจุดมุ่งหมายเพื่อหลอกให้ search engine มองว่าเว็บไซต์ของคุณน่าเชื่อถือมากกว่าความเป็นจริง
แต่กลยุทธ์การทำ SEO ที่ยั่งยืนจะเน้นไปที่การได้รับ backlink แบบออร์แกนิกในระยะยาว สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างคอนเทนต์คุณภาพสูงที่กระตุ้นให้เว็บไซต์อื่นๆ อ้างอิงถึงบทความหรือหน้าใดก็ตามบนเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเพิ่มการมองเห็นและช่วยให้คุณได้รับ backlink อย่างต่อเนื่องในอนาคต
การติดตามประสิทธิภาพของการทำ SEO ทำอย่างไร?
หลังจากที่คุณได้ใช้กลยุทธ์ SEO ดังกล่าวแล้ว ขั้นตอนต่อมาที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการตรวจสอบและประเมินประสิทธิภาพ SEO สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการประเมินองค์ประกอบหลักต่างๆ เพื่อวัดประสิทธิภาพของกลยุทธ์ที่คุณได้ลงมือทำ โดยพิจารณาทั้งสี่ปัจจัยดังต่อไปนี้เมื่อต้องการตรวจสอบประสิทธิภาพการทำ SEO ของคุณ
1. Keyword ranking
การมีคีย์เวิร์ดแบบออร์แกนิกที่อยู่ในอันดับสูงติด top 10 ของหน้าผลลัพธ์การค้นหา ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเพิ่มรายได้ผ่านทางเว็บไซต์ธุรกิจของคุณ ไม่เพียงเท่านี้ยังสามารถยอดการเข้าชมของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายและกระตุ้นให้เกิด conversion ทางออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้นด้วย
สิ่งสำคัญคือต้องเน้นการใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับผลิตภัณฑ์และบริการของคุณ เพราะถ้ายิ่งเว็บไซต์ของคุณมีคีย์เวิร์ดเหล่านี้และสามารถไต่อันดับไปอยู่ใน 5 ลำดับแรกของผลลัพธ์การค้นหาได้ คุณก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้ lead คุณภาพสูงมาสู่เว็บไซต์ของคุณมากขึ้น สำหรับการติดตามว่าเว็บไซต์ของคุณมีคีย์เวิร์ดใดบ้างที่ติดอันดับสูงๆ คุณสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Ahrefs, Link-Assistant หรือ SEMRush เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพคีย์เวิร์ดของคุณ นี่จะช่วยให้คุณทำการตัดสินใจปรับเปลี่ยนหรือพัฒนากลยุทธ์การทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. Organic traffic
Organic traffic หมายถึงจำนวนผู้เข้าชมที่เข้าถึงเว็บไซต์ของคุณผ่านผลการค้นหาทั่วไปทาง search engine สิ่งนี้คือตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกถึงความสำเร็จในความพยายามทำ SEO ของคุณ เพื่อดึงดูดให้กลุ่มผู้ชมเป้าหมายเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณผ่านเครื่องมือค้นหาอย่าง Google
การติดตามว่า organic traffic ที่เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณจะช่วยให้มองเห็นถึงข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับประสิทธิภาพของกลยุทธ์ SEO ของคุณ ด้วยการดูว่าปริมาณการค้นหาในแต่ละช่วงเวลามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ซึ่งคุณจะมองเห็นและทำความเข้าใจว่าจุดใดที่ควรปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีขึ้นได้ นอกจากนี้ยังมี Google Analytics หนึ่งในเครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยให้คุณสามารถวัดและวิเคราะห์ยอดเข้าชมแบบออร์แกนิกที่เข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณได้อีกด้วย
หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับการตั้งค่าและการวิเคราะห์เพื่อติดตามการเข้าชมแบบออร์แกนิก ทีมของเราพร้อมที่จะช่วยเหลือคุณอย่างเต็มที่ เรายินดีมอบคำแนะนำและให้การสนับสนุนเกี่ยวกับการตั้งค่าการ Google Analytics ของคุณรวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทำ SEO และบรรลุเป้าหมายที่คุณได้ตั้งเอาไว้ ปรึกษาเราได้เลย
3. Organic conversions
สิ่งสำคัญของการทำแคมเปญ SEO คือการสร้าง organic conversion หรือสิ่งที่ผู้ใช้กระทำเมื่อมาถึงเว็บไซต์ของคุณผ่านการค้นหาทั่วไปจาก Google โดย conversion เหล่านี้อาจรวมถึงการกรอกแบบฟอร์มออนไลน์หรือการซื้อผลิตภัณฑ์ และยังเป็นการวัดความสามารถในการทำกำไรที่เกิดจากแคมเปญ SEO ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่างหาก
แม้ว่าเว็บไซต์ของคุณจะมีคีย์เวิร์ดที่ติดอยู่ในอันดับสูงๆ และมียอดเข้าชมแบบออร์แกนิกมากแค่ไหนก็ตาม แต่การประเมินประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณในแง่ของ conversion ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน หากเว็บไซต์ของคุณไม่สามารถสร้าง conversion ได้ นั่นถึงเวลาที่คุณจำเป็นต้องอัปเดตและเพิ่มประสิทธิภาพให้เว็บไซต์สามารถสร้าง conversion ได้มากกว่านี้
คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้าที่กระตุ้นให้เกิด conversion ได้รับการปรับให้เหมาะสมและปราศจากข้อผิดพลาดทางเทคนิคที่อาจทำให้ผู้ใช้ไม่พอใจในการเลือกซื้อหรือดำเนินการตามที่ต้องการ ด้วยการตรวจสอบและปรับปรุงหน้า conversion ของคุณอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
4. Organic revenue
ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) คือการวัดยอดขายที่เกิดจากแคมเปญการตลาดที่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายที่ได้ลงทุนไปกับการดำเนินการ โดยนักการตลาดที่ประสบความสำเร็จจะพยายามจัดสรรเวลา ทรัพยากร และงบประมาณการโฆษณาของตน ให้สอดคล้องกับผลลัพธ์ที่จะสามารถนำธุรกิจที่พวกเขาได้ดูแลอยู่สู่ความสำเร็จในอนาคต
เมื่อพิจารณาว่า SEO เป็นช่องทางทำการตลาดอย่างหนึ่ง สิ่งสำคัญคือคุณต้องมองจากมุมมองที่กว้างขึ้นและตระหนักถึงศักยภาพที่จะช่วยให้บริษัทของคุณเติบโต เพราะรายได้ของคุณที่มาจากการ organic traffic อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทธุรกิจ เว็บไซต์ ความเชี่ยวชาญ และทรัพยากรที่มี
ตัวอย่างเช่น การติดตาม organic revenue นั้นค่อนข้างตรงไปตรงมาสำหรับบริษัทที่ทำเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ แต่อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายกว่าสำหรับแพลตฟอร์มที่ต้องอาศัย lead ที่สนใจและเลือกส่งแบบฟอร์มพร้อมข้อมูลเพื่อขอรับคำปรึกษาจากคุณ
พัฒนา SEO ของคุณไปสู่อีกระดับ
ตั้งแต่การติดตามการจัดอันดับคีย์เวิร์ดไปจนถึงการตรวจสอบ organic revenue บรรดาตัวชี้วัดประสิทธิภาพการทำ SEO เหล่านี้จะมอบข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวกับ buyer’s journey ซึ่งช่วยให้คุณเข้าใจว่าลูกค้าของคุณค้นพบเว็บไซต์ของคุณได้อย่างไรและทำให้เกิด conversion ในท้ายที่สุด
เมื่อทำตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในคู่มือฉบับสมบูรณ์นี้เรียบร้อยแล้ว คุณก็จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันในแง่ของการมองเห็นทางออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น
เพื่อยกระดับกลยุทธ์ในการทำแคมเปญ SEO ของคุณไปอีกขั้น ทีมผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ของเราที่ Morphosis พร้อมให้ความช่วยเหลือในทุกเรื่อง ไม่ว่าคุณจะต้องการทำ SEO audit, การทำวิจัย keyword research หรือบริการสร้างคอนเทนต์ที่เป็นมิตรต่อ SEO ก็สามารถติดต่อเราวันนี้เพื่อรับคำปรึกษาได้ฟรี