เมื่อผมก้าวออกจาก comfort zone เพื่อมาทำงานออกแบบ UX/UI
พื้นฐานเกี่ยวกับดีไซน์
ขอเล่าที่มาที่ไปให้ฟังก่อนว่า กว่าจะได้มาทำงานออกแบบ UX/UI นั้น ผมผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้าง
เริ่มจากผมมีใจรักศิลปะมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะพี่ชายชอบวาดการ์ตูน แล้วเขาวาดสวย ก็เลยวาดรูปเล่นตามไปด้วย แต่พอเริ่มโตขึ้นก็ทิ้งมันไป ไม่คิดว่าจะเอามาทำเป็นอาชีพ
เมื่อเริ่มเรียนมัธยมก็เริ่มสนใจเรื่องดีไซน์ แม้จะไม่ได้เรียนมาตรงด้านนี้โดยตรงเพราะที่โรงเรียนไม่มีสอน แต่พอรู้ว่าผมสามารถนำสิ่งที่ผมชอบไปประกอบอาชีพได้จริง พร้อมๆ กับการได้รู้ว่ามีมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนเกี่ยวกับดีไซน์ ซึ่งตอนนั้นผมเรียนอยู่ประมาณ ม.4-ม.5 ก็เลยแอบเข้าไปเรียนในห้องศิลปะกับคนอื่นๆ
โชคดีที่อาจารย์อนุญาตให้เรียนได้และคอยให้คำแนะนำหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะเรื่องแนวทางการเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย ก็เลยคิดว่าเรียนอะไรที่ตัวเองชอบดีกว่าไปฝืนเรียนสิ่งที่ไม่ชอบ
ตอนแรกสอบติดที่คณะวิจิตรศิลป์ของลาดกระบัง แต่ผมมองว่ามันศิลปะจ๋าเลย ค่อนข้างไกลตัวไปหน่อย ไม่ได้เกี่ยวกับดีไซน์มากนัก แล้วผมก็ไม่ได้มองว่าตัวเองวาดรูปเก่งขนาดนั้น ก็เลยไปเรียนสาขา Computer Graphic and Multimedia ที่ ม.กรุงเทพ ฝั่งอินเตอร์ เพราะคิดว่าน่าจะตรงกับความต้องการของผมมากกว่า
ที่นั่นเขาสอนหลายอย่างเกี่ยวกับดีไซน์ ไม่ว่าจะเป็น illustration, graphic design, website design, product design, cinematography, photography และมีการนำเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องด้วยในแต่ละวิชา แต่สมัยนั้นยังไม่มีเรื่องของ UX/UI ผมก็เลยไปทาง graphic design มากกว่า
การเรียนที่นั่นทำให้ผมได้รู้ว่าดีไซน์เป็นเรื่องใกล้ตัวกว่าที่คิดมาก ไม่จำเป็นต้องวาดรูปสวยแบบศิลปินก็สามารถเป็น graphic designer ได้ เรียนแล้วก็ชอบ เพราะได้ลองออกแบบอะไรหลายๆ อย่าง
จุดเริ่มต้นของการทำงานออกแบบ UX/UI
ผมเริ่มทำงานดีไซน์ตั้งแต่สมัยเรียน โดยเริ่มจากการออกแบบโปสเตอร์ เพราะมีกลุ่มเพื่อนที่เป็น organizer จัดปาร์ตี้ตามผับบาร์ต่างๆ ต้องการคนมาทำโปสเตอร์โปรโมตงาน พอเห็นผมมีทักษะด้านนี้อยู่ก็เลยชวนมาทำ ทีนี้เจ้าของผับคนหนึ่งเขาเปิด graphic house อยู่ด้วยก็เลยชวนผมไปทำงานที่นั่น
พอเรียนจบก็เลยทำงานเป็น graphic designer ที่ graphic house แห่งนั้น ทำอยู่ประมาณ 4 ปี ได้ทำงานเกี่ยวกับ branding และ illustration ค่อนข้างเยอะ จากนั้นออกมาทำฟรีแลนซ์อยู่ 2 ปี แล้วก็ไปทำงานอยู่กับพวกสตาร์ตอัปอยู่ 2-3 ที่ เลยได้เห็นธรรมชาติของสตาร์ตอัปว่ามันเป็นเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ ที่ผ่านการลองผิดลองถูก อาจจะเวิร์กบ้าง ไม่เวิร์กบ้าง ใช่ว่าทุกอย่างจะประสบความสำเร็จได้ตามฝัน
ช่วงที่ทำงานกับสตาร์ตอัปนี่เองที่ทำให้ผมได้เริ่มรู้จักกับคำว่า UX/UI รู้สึกว่ามันน่าสนใจ มันมีกระบวนการคิดที่แตกต่างออกไปจากที่เคยเรียนมา ก็ได้เข้าไปช่วยงานคนอื่น เลยได้ก้าวเข้าสู่โลกของ UX/UI design โดยเริ่มจากฝั่งของ UI design ก่อน
ผมเลยได้ออกแบบ stage ต่างๆ ทีนี้พอได้เห็นอินเทอร์เฟซที่คนใช้งานเลยรู้สึกว่ามันน่าสนใจ เลยลองศึกษาจาก YouTube เพิ่มเติมว่า UX/UI design คืออะไร รวมถึงพวกเว็บไซต์ที่รวบรวม portfolio ต่างๆ โชคดีที่ผมมีพื้นฐานเรื่องดีไซน์อยู่แล้วก็เลยเรียนรู้ได้ค่อนข้างเร็ว
จุดเปลี่ยนของเส้นทางอาชีพ ด้วยการออกจาก comfort zone
พอเข้าใจระดับหนึ่งแล้วก็กัดฟันยอมลดเงินเดือนตัวเอง ยอมออกจาก comfort zone เพื่อลองไปสมัครงานเป็น UX/UI designer ดู เพราะตอนนั้นฐานเงินเดือนผมสูงกว่าตำแหน่งนั้นเยอะเลย แต่ประสบการณ์เกี่ยวกับ UX/UI ผมยังมีไม่ค่อยเยอะเท่าไร
ผมใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์ในการทำงาน UX/UI design ประมาณสองปีครึ่ง ก่อนหน้านั้นก็ได้ยินชื่อของ Morphosis มาบ้างแล้วว่าเชี่ยวชาญด้าน UX/UI design ก็เลยมาสมัครงานที่ Morphosis แล้วก็ทำที่นี่มาประมาณ 3 ปีแล้ว
กระบวนการคิดของงานสายนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับผม เพราะปกติแล้วงาน graphic design นั้นลูกค้าจะบรีฟให้แค่ว่าแบรนด์เป็นอย่างไร เอางานนี้ไปใช้ทำอะไร ใครเห็นบ้าง ธีม หรือ mood and tone เป็นอย่างไร
พอได้ทำงานเป็น UX/UI designer จริงๆ เลยได้รู้ว่า ดีไซน์มันไม่ใช่แค่ออกแบบให้สวยงามแล้วจบไป แม้ว่า UI ที่สวยงามมันจะมีความสำคัญระดับหนึ่ง แต่เราต้องคิดเยอะกว่านั้น ต้องคิดถึงผู้ใช้ และประสบการณ์ที่เขาจะได้รับเป็นหลัก
ถ้าดีไซน์สวยงามแต่ใช้งานไม่ได้ ดีไซน์นั้นก็เปล่าประโยชน์
นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของการทำ persona และ user journey เพื่อทำความเข้าใจผู้ใช้ รวมถึงการวางโครงสร้างอย่าง information architecture และ sitemap เพิ่มเข้ามา เป็นต้น ซึ่งถือว่าค่อนข้างท้าทายสำหรับผมพอสมควร เพราะไม่เคยคิดว่ามันจะมีเรื่องราวเบื้องหลังเยอะขนาดนี้
ความท้าทายครั้งใหญ่
หลังจากที่เข้ามาทำงานที่ Morphosis แล้วก็ได้ทำมาหลายโปรเจกต์ แต่โปรเจกต์หนึ่งที่ทั้งใหญ่และยากมากคือของ Kerry Express ซึ่งยากตรงที่เวลาและงบที่มีจำกัดแต่ต้องออกแบบทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน ทำให้การวางแผนต้องดีมากๆ แล้วผมรับหน้าที่เป็นหนึ่งใน UX/UI designer หลักของโปรเจกต์ด้วย
ผมจึงพยายามทำให้เร็วที่สุดและครอบคลุมความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะตรงแดชบอร์ดหลังบ้านนี่ท้าทายมาก เพราะเป็นส่วนที่ผู้ใช้ต้องล็อกอินเข้าไปดูรายละเอียดและจัดการการขนส่งสินค้า ซึ่งไม่ได้มีแค่ผู้ใช้ทั่วไปด้วย เพราะบางคนเป็นผู้ใช้ที่มีปริมาณพัสดุเยอะๆ ส่งของทีละเป็นร้อยเป็นพันชิ้น เราต้องคิดว่าจะออกแบบอย่างไรให้เขาใช้งานได้ง่ายที่สุด
หนทางแก้ปัญหา
ผมจึงต้องคุยกับลูกค้าว่ามีปัญหาอยู่ตรงไหน สามารถแก้ไขได้อย่างไรบ้าง วางลำดับความสำคัญว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง และคอยสื่อสารกับทีมอยู่ตลอด
ซึ่งทีม UX/UI designer ก็มีส่วนช่วยที่ทำให้ผมเอาชนะความท้าทายนี้ไปได้ โดยเฉพาะ Michi (Michimasa Kataoka) ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างแดชบอร์ด คอยดูรายละเอียดเรื่ององค์ประกอบของแดชบอร์ดให้ ซึ่งผมจะดูในส่วนที่เป็น high level อย่าง user flow ต่างๆ มากกว่า ทำให้ถึงแม้ว่างานนี้จะยากและมีอุปสรรคบ้าง แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี
ต่อมาก็ไปทำงานในโปรเจกต์ของ TrueID ซึ่งแตกต่างกันตรงที่โปรเจกต์นี้มีโครงสร้างที่แน่นอน ทำงานแบบทีละ sprint ตามบรีฟที่แตกต่างกันไป แต่ก็มีความท้าทายตรงที่ดีไซน์ไม่สามารถทำเกินไปกว่าที่ลูกค้ามีอยู่ได้มากนัก เพราะว่าลูกค้ามีทรัพยากรที่จำกัดและปัจจัยหลายอย่างนั้นเกี่ยวข้องกับทางฝั่ง developer ค่อนข้างเยอะ จึงมีข้อจำกัดในการดีไซน์หลายอย่าง ทำให้ผมต้องคุยกับ developer อยู่ตลอดว่าดีไซน์อันไหนทำได้ ถ้าทำได้ ได้ในระดับไหน และอันไหนทำไม่ได้
ความสนุกของงานออกแบบ UX/UI
ผมสนุกที่ได้คิดแผนงานออกแบบและแก้ปัญหาที่ลูกค้ามีด้วยดีไซน์ เช่น เขาต้องการฟีเจอร์บางอย่าง แต่ยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เราก็ไปค้นคว้าหาข้อมูลมาว่าจะแก้ pain point ตรงนี้ได้อย่างไรบ้าง โดยอิงจากดีไซน์หรือแพลตฟอร์มที่เขามีอยู่ ซึ่งตอนที่ทำโปรเจกต์ของ TrueID จะเห็นได้ชัดที่สุด เพราะเขาจะมีโจทย์มาให้ทุกๆ sprint แม้ว่าไอเดียจะไม่สามารถนำไปใช้จริงได้หมด แต่ก็มีบางอย่างนำไปใช้งานต่อได้
ออกจาก comfort zone อีกครั้ง
หลังจากนั้นผมก็ได้ก้าวมาเป็น design manager จนถึงปัจจุบัน ทำให้มีส่วนร่วมในการวางแผนงานออกแบบอย่างเต็มตัว จากเมื่อก่อนที่เป็น UX/UI designer เราก็จบที่ดีไซน์ ก่อนหน้านี้ที่มีคนคอยวางแผนให้ พอมาทำเองเลยรู้ว่า การวางแผนมันไม่ง่ายเลย เพราะต้องเกี่ยวข้องกับทีมงานหลายๆ ส่วนเพื่อให้มันประสบความสำเร็จ ทำให้ต้องติดต่อกับคนเยอะมาก ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับผมเหมือนกัน
เนื่องจากก่อนหน้านี้ ผมไม่ค่อยเคยชินกับการพยายามทักหรือเข้าหาคนอื่นก่อนเพื่อประสานงานมากนัก เพราะปกติแล้ว UX/UI designer มักจะทำงานแค่ตัวคนเดียว หรืออยู่ในทีมเล็กๆ พองานเสร็จก็ส่งลูกค้า ถ้าลูกค้าไม่พอใจก็ปรับแก้ใหม่ แต่พอเป็น design manager มันต้องทำงานร่วมกับคนเยอะๆ เลยต้องผลักดันให้ตัวเองเข้าไปหาคนอื่นมากขึ้น ไม่ว่าจะตอนที่เราต้องการความช่วยเหลือ หรือคนอื่นต้องการความช่วยเหลือจากเรา
สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับการเป็น manager และเป็นเรื่องท้าทายที่สุดสำหรับผม เพราะว่าต้องเชื่อมโยงทุกคนให้อยู่ในจุดเดียวกันและก้าวสู่ทิศทางเดียวกันให้ได้
ทีแรกก็ไม่ได้กะจะมาทำตรงนี้ เพราะคิดว่าการเป็น manager มันไม่น่าจะเหมาะกับตัวเอง แต่มันเป็นโอกาสที่มีผู้บริหารหยิบยื่นมาให้ลอง เพราะเขาคิดว่าผมน่าจะทำได้ ผมเองแม้จะไม่มั่นใจแต่ก็คิดว่าน่าสนใจ
ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ชอบออกจาก comfort zone มาตั้งแต่ตอนที่เป็น graphic designer อยู่ แล้วเปลี่ยนมาเป็น UX/UI designer ที่ผมผลักดันตัวเองแบบนี้อาจเป็นเพราะบางครั้งรู้สึกว่าเส้นทางข้างหน้ามันตันแล้ว ไม่มีอะไรใหม่ เลยอยากก้าวไปค้นหาอะไรใหม่ๆ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นอกจากพื้นที่ที่ตัวเองคุ้นเคย
พอมาทำก็พบว่า แม้จะไม่ได้ราบรื่นมาก แต่ก็ถือว่าน่าพอใจในระดับหนึ่ง เซอร์ไพรส์อยู่เหมือนกันที่รู้ว่าบางอย่างผมก็ทำได้นี่นา ไม่ได้เกินความสามารถขนาดนั้น เรียกได้ว่าเป็นหนทางที่ทำให้ผมได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองต่อไป เลยอยากจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้
สิ่งสำคัญที่ได้เรียนรู้
จากประสบการณ์ที่เจอมา ผมคิดว่าการวางแผนสำคัญมาก รวมถึงการสื่อสารกับลูกค้าที่ชัดเจนตั้งแต่แรกก่อนจะเริ่มโปรเจกต์ ซึ่งจะช่วยให้การทำงานหลายๆ อย่างหลังจากนั้นผ่านไปได้อย่างราบรื่นขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรจะเป็น แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ ณ ตอนนั้น
แม้ว่าการวางแผนงานจะดูเหมือนเป็นเรื่องน่าเบื่อ ดูลำบาก เพราะต้องไปคุยกับคนมากมาย แต่ความสนุกก็คือขั้นตอนการคิดว่าเราจะไปถึงจุดหมายได้อย่างไร
ผมรู้สึกโชคดีที่ได้รับโอกาสในการเป็น design manager ในบริษัทชั้นนำอย่าง Morphosis เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่ใครสักคนจะได้รับโอกาสดีๆ แบบนี้ พอมองย้อนกลับไปก็พบว่าตัวเองได้เรียนรู้จากการทำงานที่นี่เยอะมากภายในระยะเวลาที่ไม่นาน ซึ่งผมได้เรียนรู้จากทุกคน ตั้งแต่ระดับน้องๆ junior ไปจนถึงผู้บริหารระดับสูง
ที่เป็นแบบนี้เพราะวัฒนธรรมการทำงานของ Morphosis คือทีมงานทุกคนจะช่วยเหลือกัน คอยให้คำแนะนำซึ่งกันและกัน เราไม่ได้มองว่าใครจะมีตำแหน่งสูงกว่าใคร เรามองว่าทุกคนมีทักษะแตกต่างกันไป ไม่มีใครรู้ไปหมดทุกอย่าง
เป้าหมายต่อไป
ในอนาคต ผมไม่ได้มองว่าในเชิงตำแหน่งหน้าที่การงานจะเติบโตไปถึงไหน แต่จะมองว่าตัวเองได้เรียนรู้อะไรไปบ้างในระหว่างทางมากกว่า ทำหน้าที่ได้ดีหรือยัง มีอะไรที่ยังขาดตกบกพร่องบ้าง เลยอยากเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ แม้ว่ามันจะไม่ดีไปทั้งหมด เพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะทำได้ดีไปหมดทุกอย่าง
แต่สุดท้ายแล้วอย่างน้อยผมสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ราบรื่นขึ้น สามารถวางแผนงานได้ เป็นที่พึ่งของน้องๆ junior designer หรือว่า designer คนอื่นๆ ได้เมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ มันน่าจะเติมเต็มความรู้สึกผมได้ดีมาก
ฝากทิ้งท้ายถึงคนที่อยากทำงานออกแบบ UX/UI
ใครก็ตามที่สนใจอยากทำงานสายนี้ มันไม่สำคัญว่าคุณจะเริ่มเมื่อไร ไม่มีคำว่าสายเกินไป แต่คุณต้องกล้าที่จะออกมาจาก comfort zone และทำให้จริงจัง ถ้าคุณทำได้ มันก็สามารถผลักดันคุณไปยังเส้นทางที่คุณคิดว่าไกลตัวหรือไม่คิดว่าจะไปถึงได้ ทุกอย่างมันเป็นไปได้ทั้งนั้น
ถ้าสนใจอยากมาร่วมงานกันที่ Morphosis สามารถเข้าไปดูตำแหน่งงานที่เปิดรับได้ ขอให้โชคดีครับ สำหรับตัวอย่างผลงานที่ผ่านมาของเรากับลูกค้าชั้นนำต่างๆ สามารถดูได้ที่หน้านี้